![]() |
||||||||||
|
||||||||||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() สภาพอากาศประจำวัน ![]()
ที่
Aix-en-Provence
การติดต่อที่จำเป็น ลิงค์เพื่อนบ้าน |
การเปิดเสรีบริการสาธารณะ[1] และ กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้่า
ในสหภาพยุโรป
โดย ณัฐสุดา ธรรมถนอม
คลิ้กเพื่อดูบทความเรื่องนี้เป็นภาษาฝรั่งเศส
ปัจจุบัน สหภาพยุโรปมีบทบาทและมีอิทธิพลต่อนโยบายและกฎหมายของประเทศสมาชิกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยกลายเป็นผู้วางหลักให้ประเทศสมาชิกปฏิบัติตามเพื่อให้เป็นไปในทางเดียวกัน การรวมตัวกันของประเทศต่างๆเป็นสหภาำพยุโรปมีจุดมุ่งหมายหลัก คือการสร้างตลาดร่วม (Marché commun)[2] และได้กำหนดหลักสำคัญไว้ ๔ ประการ ได้แก่ การเดินทางอย่างอิสระของประชากรยุโรป และการไหลเวียนอย่างอิสระของเงินทุน สินค้า และบริการ (Libre circulation des personnes, des capitaux, des marchandises et des services)[3] เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ดังกล่าว สหภาำพยุโรปได้เน้นส่งเสริมการแข่งขันทางการค้า และได้มีนโยบายให้เปิดเสรีบริการต่างๆ โดยห้ามการกีดกันทางการค้าจากรัฐใดรัฐหนึ่ง
อย่างไรก็ดี การเปิดเสรีบริการบางประเภทก็ทำได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจการที่ให้บริการโดยรัฐ หรือกิจการซึ่งรัฐเป็นผู้มอบสัมปทาน บริการต่างๆเหล่านี้ได้แก่ การไฟฟ้า น้ำประปา การขนส่ง การติดต่อสื่อสาร การไปรษณีย์ เป็นต้น แต่เนื่องจากสหภาพยุโรปเล็งเห็นว่า การทำให้เกิดการแข่งขันทางการค้าในกิจการบริการสาธารณะ จะนำไปสู่การลดราคาค่าบริการ และการพัฒนาคุณภาำพของบริการดังกล่าว อันเป็นผลพลอยได้ของผู้บริโภค ซึ่งก็คือประชากรยุโรปนั่นเอง สหภาำพยุโรปจึงได้ออกกฎต่างๆออกมาเพื่อให้รัฐสมาชิกดำเนินการเปิดเสรีบริการเหล่านี้
ก่อนที่เราจะศึกษาเรื่องการเปิดเสรีบริการสาธารณะนี้ ในเบื้องต้นเราควรมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับที่มาของกิจการบริการสาธารณะหลักๆเหล่านี้ก่อน การให้บริการที่เกี่ยวกับสาธารณูประโภคหลักๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้แจกจ่ายไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์ หรือ การขนส่งทั้งทางถนน ทางรถไฟ หรือทางอากาศ มักเป็นการให้บริการผ่านเครือข่าย (Réseau d’utilité publique) เนื่องจากการให้บริการต่างๆเหล่านี้อย่างเท่าเทียมกันแก่ประชาชนทั่วประเทศจำเป็นต้องใช้ต้นทุนสูง และบางครั้งยังต้องอาศัยอำนาจรัฐ เช่นอำนาจการเวนคืน ในการตั้งเครือข่ายหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นการวางสายไฟฟ้า สายโทรศัพท์ การวางท่อประปา หรือการทำทางรถไฟ ดังนั้น รัฐจึงเข้ามามีบทบาทในกิจการดังกล่าวเป็นอันมาก โดย - รัฐอาจเป็นผู้ให้บริการเอง เช่น การไปรษณีย์และการสื่อสาร (Administration des postes et de télécommunication จนถึงปี ค.ศ. ๑๙๙๐[4]) หรือ - รัฐอาจมอบหมายให้ผู้ประกอบการคนใดคนหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นบริษัทเอกชน (Air France, SNCF ก่อนปี ค.ศ. ๑๙๘๒) หรือรัฐวิสาหกิจ (EDF, GDF, SNCF หลังจากปี ค.ศ. ๑๙๘๒, La poste หลังจากปี ค.ศ. ๑๙๙๐) เป็นผู้ให้บริการ โดยผู้ประกอบการดังกล่าวจะได้สิทธิการผูกขาด (Monopole) และยังอาจได้รับเงินสนับสนุน และสิทธิพิเศษอื่นๆ เช่น สิทธิพิเศษเกี่ยวกับภาษี เป็นต้น โดยผู้ประกอบการจะต้องดำเนินการโดยการสนองนโยบายของรัฐ
การเปิดเสรีบริการสาธารณะหลักๆเริ่มต้นขึ้นในช่วงทศวรรษ ๑๙๘๐ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเห็นว่าการผูกขาดทำให้บริการไม่มีประสิทธิภาพ ผลของการเปิดเสรีทำให้ค่าใช้บริการ เช่น ค่าโทรศัพท์ระหว่างประเทศ ลดลงอย่างมาก และมีจำนวนผู้ประกอบการมากขึ้น หลังจากนั้น ประเทศอื่นๆรวมถึงสหภาพยุโรปก็ได้มีนโยบายการเปิดเสรีตามมา เพื่อให้ผู้ให้บริการกิจการดังกล่าวในยุโรปยังคงสามารถแข่งขันกับบริษัทของสหรัฐอเมริกาได้ บริการสาธารณะผ่านเครือข่ายแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ ตัวเครือข่าย (Réseau) และบริการ (Service) ก่อนการเปิดเสรี ตลาดบริการสาธารณูปโภคมีสภาพเป็นตลาดที่ถูกผูกขาดโดยผู้ให้บริการซึ่งเป็นเจ้าของหรือผู้จัดการดูแลเครือข่าย
การเปิดเสรีบริการนั้นไม่จำเป็นต้องเปิดเสรีตัวเครือข่าย แต่เป็นเพียงการเปิดเสรีบริการเท่านั้น ตัวอย่างเช่น การเปิดเสรีบริการการสื่อสาร ทำให้มีผู้ให้บริการโทรศัพท์เพิ่มมากขึ้น (Cegetel, Neuf Télécom, Onetel, etc.) แต่ยังคงมีเครือข่ายเดียว คือเครือข่ายของ France Telecom โดยผู้จัดการเครือข่ายจะต้องอนุญาตให้ผู้ให้บริการรายอื่นๆเข้ามาใช้เครือข่ายของตนได้โดยคิดค่าบริการที่เหมาะสม ผู้ให้บริการรายอื่นไม่จำเป็นต้องลงทุนสร้างเครือข่ายใหม่ หรือวางสายโทรศัพท์ของตนเอง ในการเปิดเสรีการไฟฟ้าก็เช่นเดียวกัน ปัจจุบันบริษัทต่างๆในฝรั่งเศสสามารถเลือกซื้อไฟฟ้าจากบริษัทต่างชาติได้ แต่ก็ยังคงรับไฟฟ้าตามสายเดิม กล่าวคือ การให้บริการไฟฟ้ามีผู้ประกอบการ ๒ ส่วน ได้แก่ เจ้าของเครือข่ายสายไฟฟ้า คือ Transporteur และ ผู้ผลิตไฟฟ้า หรือ Producteur การเปิดเสรีมุ่งให้มีการแข่งขันในระดับผู้ผลิต ส่วนระดับเครือข่ายยังคงเป็นการผูกขาด โดยเจ้าของเครือข่ายจะต้องอนุญาตให้ผู้ผลิตรายต่างๆเข้ามาใช้เครือข่ายของตนได้ในราคาค่าบริการที่เหมาะสม หากแต่กระแสไฟฟ้าเป็นทรัพท์ที่ไม่เหมือนทรัพท์ทั่วๆไป ตัวอย่างเช่น กระแสไฟฟ้าที่ส่งจากเยอรมันมาฝรั่งเศสอาจมาจากหลายทางและผ่านเครือข่ายของประเทศอื่นๆอีก จึงอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับการคิดค่าบริการในการจัดส่งกระแสไฟได้[5]
มาตรการหลักของการเปิดเสรีคือการยกเลิกสิทธิการผูกขาด เปิดโอกาสให้บริษัทอื่นๆเข้ามาประกอบกิจการได้เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น และปรับใช้กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าเพื่อหลีกเลี่ยงการแ่ข่งขันไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ รัฐอาจดำเนินการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ[6] เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการดำเนินการมากขึ้นด้วย
ในการทำความเข้าใจเรื่องการเปิดเสรีบริการสาธารณะกับกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้านี้ ผู้เขียนจะกล่าวถึงการกำกับดูแลกิจการที่ให้บริการผ่านเครือข่าย (๑.) และการปรับใช้กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าในกิจการดังกล่าว (๒.) ตามลำดับ
๑) การกำกับดูแลบริการผ่านเครือข่าย
เนื่องจากตลาดบริการสาธารณะผ่านเครือข่ายก่อนการเปิดเสรีมักมีสภาำพเป็นตลาดผูกขาด[7] การเปิดเสรีจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่สามารถทำได้โดยง่าย จำเป็นจะต้องมีการวางกฎเกณฑ์ต่างๆอย่างมาก โดยกฎเกณฑ์ต่างๆล้วนมีจุดมุ่งหมายให้ผู้ประกอบการรายใหม่ๆสามารถเข้ามาแข่งขันกับผู้ประกอบการเดิมซึ่งอยู่ในสถานะผูกขาดได้ บทบาทของรัฐต่อบริการสาธารณูปโภคในสภาวะการเปิดเสรีได้เปลี่ยนไปจากเดิม โดยปัจจุบันรัฐไม่ได้เป็นผู้ควบคุมดูแลรัฐวิสาหกิจ (Etat tutelle) หากแต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้น (Etat actionnaire) และได้เกิดแนวความคิดใหม่คือ “การกำกับดูแล” (Régulation)
ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ก่อนการเปิดเสรี ผู้ใ้ห้บริการสาธารณูปโภคเดิมมักมีอำนาจผูกขาด หากเปิดตลาดให้มีการแข่งขันอย่างเสรีตามกลไกตลาดทันที และปล่อยให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาตีตลาดเองโดยไม่มีการเตรียมการล่วงหน้า เป็นที่แน่นอนว่าผู้ประกอบการรายใหม่ (Nouvel entrant) จะไม่สามารถเข้ามาแข่งขันกับผู้ประกอบการเดิม (Opérateur historique) ได้เลย เนื่องจากผู้ประกอบการเดิมเป็นที่รู้จักในหมู่ผู้บริโภค อีกทั้งยังเป็นเจ้าของเครือข่ายที่ครอบคลุมกว้างขวาง ดังนั้น การกำกับดูแลจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการเปิดเสรีเพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมต่อไป อย่างไรก็ดี รัฐจะต้องตอบปัญหาหลักให้ได้สองประการคือ ใครจะเป็นผู้กำกับดูแล (๑.๑) และการกำกับดูแลจะครอบคลุมประเด็นใดบ้าง (๑.๒)
๑.๑ ผู้มีอำนาจกำกับดูแล
แต่เดิมรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นผู้จัดการเครือข่ายมักมีอำนาจในการควบคุมดูแลผู้ประกอบการอื่นๆ แต่เมื่อมีการเปิดเสรีและแปรรูปรัฐวิสาหกิจแล้ว หากรัฐยังคงมอบหมายให้ผู้ประกอบการเดิมมีอำนาจในการกำกับดูแลผู้ประกอบการรายอื่นๆก็จะทำให้เกิดการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม เพราะเมื่อมีการแปรรูปแล้ว รัฐวิสาหกิจเดิมก็จะมีสถานะใหม่เป็นบริษัทเอกชนเช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ไม่ควรที่จะมีอำนาจในการควบคุมคู่แข่งขันของตนเอง จึงเกิดเป็นทฤษฎีการแยกผู้กำกับดูแลออกจากผู้ประกอบการ (Principe de la séparation des opérateurs et le régulateur) ในประเทศฝรั่งเศสผู้มีอำนาจในการกำกับดูแลมักเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นมาใหม่ เช่น ART (Autorité de régulation des télécommunications) เป็นผู้ควบคุมดูแลเกี่ยวกับกิจการโทรศัพท์ และการสื่อสารผ่านเครือข่าย เป็นต้น
๑.๒ อำนาจการกำกับดูแล
ผู้กำกับดูแลอาจมีอำนาจในการออกกฎเกณฑ์ต่างๆ โดยกฎที่ออกโดยผู้กำกับดูแลมีสถานะเป็นคำสั่งทางปกครอง ซึ่งผู้ประกอบการอาจยกไปฟ้องต่อ Conseil d’Etat ได้ ในการเปิดเสรี ผู้ประกอบการรายใหม่จะต้องมีสิทธิในการใช้เครือข่ายซึ่งมีอยู่เดิม โดยผู้กำกับดูแลมักมีอำนาจในการออกกฎเกี่ยวกับเงื่อนไขการใช้บริการ และอัตราค่าใช้บริการเครือข่ายซึ่งผู้ประกอบการรายใหม่จะต้องเสียแก่ผู้ประกอบการเดิมซึ่งเป็นเจ้าของเครือข่าย นอกจากนี้ ผู้กำกับดูแลยังมีอำนาจในการระงับข้อพิพาทระหว่างผู้ประกอบการรายใหม่และผู้ประกอบการเดิมอีกด้วย[8] การกำกับดูแลเป็นการพยายามทำให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรมในเบื้องต้น อย่างไรก็ดี ในตลาดที่มีการแข่งขันเสรีแล้ว หากผู้ประกอบการใดกระทำการอันทำให้เกิดการแข่งขันไม่เป็นธรรม ก็อาจถูกลงโทษตามกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าได้
๒) การปรับใช้กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า
ในขณะที่การกำกับดูแลเป็นการกระทำล่วงหน้าเพื่อป้องกันการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าจะถูกใช้เพื่อลงโทษการกระทำที่เกิดขึ้นแล้วอันทำให้เกิดการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม อาจกล่าวได้ว่าการกำกับดูแล และกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าเป็นส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน[9] ในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับใช้กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้ากับการเปิดเสรีบริการสาธารณะ ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงการใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้ากับผู้ให้บริการสาธารณะ (๒.๑) และการใช้อำนาจเหนือตลาดโดยมิชอบ (Abus de position dominante) (๒.๒)
๒.๑ การใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้ากับผู้ให้บริการสาธารณะ
มาตรา ๘๖ วรรค ๒[10] แห่งสนธิสัญญาก่อตั้งสหภาพยุโรปกำหนดให้ผู้ประกอบการที่ให้เป็นผู้ให้บริการสาธารณะต้องปฏิบัติตามกฎของสนธิสัญญาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎเกี่ยวกับการแข่งขันทางการค้า ตราบเท่าที่กฎนั้นๆไม่ขัดต่อการปฎิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ อย่างไรก็ดี การไม่ปฏิบัติตามกฎจะต้องไม่กระทบต่อการแลกเปลี่ยนอย่างเสรีตามจุดมุ่งหมายของสหภาพยุโรป มาตรา ๘๖ วรรค ๒ นี้ไม่ใช่เกราะป้องกันการปรับใช้กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้ากับกิจการบริการสาธารณะ เนื่องจากข้อยกเว้นนี้จะต้องถูกตีความอย่างเคร่งครัด[11] และต้องไม่ขัดต่อจุดประสงค์ของสหภาำพยุโรป นั่นก็คือการติดต่อแลกเปลี่ยนอย่างเสรี แม้ว่ารัฐจะมีสิทธิในการกำหนดบริการสาธารณะ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะกำหนดบริการใดก็ได้ให้เป็นบริการสาธารณะ แต่ศาลยุโรปก็มีอำนาจในการควบคุม เช่น ในส่วนของการไปรษณีย์ กิจการการนำส่งจดหมายแบบธรรมดาโดยคิดค่าธรรมเนียมเท่ากันทั่วประเทศไม่ว่าจะส่งจากที่ไหนไปที่ไหน จัดเป็นบริการเพื่อประโยชน์สาธารณะ ส่วนการส่งไปรษณีย์ด่วนไม่จัดเป็นบริการเพื่อประโยชน์สาธารณะตามมาตรา ๘๖ วรรค ๒[12] เป็นต้น
๒.๒ การใช้อำนาจเหนือตลาดโดยมิชอบ (Abus de position dominante)
มาตรา ๘๒[13] แห่งสนธิสัญญาก่อตั้งสหภาพยุโรปกำหนดห้ามผู้ที่มีอำนาจเหนือตลาดใช้อำนาจนั้นในทางที่มิชอบ การปรับใช้กฎการห้ามใช้อำนาจเหนือตลาดโดยมิชอบกับกิจการที่ผ่านการเปิดเสรีมาแล้วนั้นมักเป็นการปรับใช้ทฤษฎี Facilités essentielles ที่กำหนดให้ผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของหรือมีองค์ประกอบสำคัญในการประกอบกิจการนั้นๆำในครอบครอง เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ซึ่งก็คือคู่แข่งขันของตนเข้ามาใช้องค์ประกอบสำคัญนั้นๆ ตัวอย่างเช่น เจ้าของเครือข่ายสายโทรศัพท์ต้องอนุญาตให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตรายอื่นเข้ามาใช้เครือข่าย (boucle locale) ของตนในราคาที่เหมาะสม หากตั้งราคาสูงเกินทำให้จำนวนผู้ประกอบการรายใหม่มีจำกัด เจ้าของเครือข่ายก็อาจผิดฐานใช้อำนาจเหนือตลาดโดยมิชอบได้ โดยคณะกรรมาธิการยุโรปด้านการแข่งขันทางการค้าได้ึตัดสินลงโทษบริษัท Deutsche Telekom ด้วยเหตุดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ค.ศ. ๒๐๐๓ (Déc. comm. CE n° 2003/707, 21 mai 2003, Deutsche Telekom AG) เป็นต้น ความผิดลักษณะดังกล่าวอาจมาจากผู้ประกอบการซึ่งเป็นผู้ดูแลเครือข่ายอื่นๆ เช่น สนามบิน (TPICE aff. T-128/98, 12 déc. 2000, Aéroport de Paris c/ Commission), ท่าเรือ (CJCE aff. C-179/90, 10 déc. 1991, Port de Gènes), ทางรถไฟ (Déc. comm. CE n° 2004/3, 27 août 2003, Ferrovia dello Stato SpA) เป็นต้น นอกจากนี้ ความผิดฐานใช้อำนาจเหนือตลาดโดยมิชอบอาจมาจากพฤติกรรมอื่นๆ เช่น การทุ่มตลาด (Dumping) ได้อีกด้วย (Déc. comm. CE, 16 juill. 2003, Wanadoo)
บทสรุป
จากการศึกษาเรื่องการเปิดเสรีบริการสาธารณะและกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าในสหภาพยุโรปนี้ เราจะเห็นได้ว่าการเปิดเสรีบริการสาธารณะในยุโรปนั้นจะต้องดำเินินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป และต้องวางกฎเกณฑ์ต่างๆมากมาย ปัจจุบันในขณะที่ประเทศไทยกำลังดำเนินการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ หากมีการนำประเด็นต่างๆที่สหภาพยุโรปได้ดำเนินการแล้วเป็นผลดี เช่น - การเปิดเสรีบริการพร้อมกับการกำกับดูแลการใช้ตัวเครือข่าย, - การแยกผู้ให้บริการออกจากผู้มีอำนาจในการกำกับดูแลและออกระเบียบเำพื่อหลีกเลี่ยงการมีผลประโยชน์ขัดกัน, - การใช้กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าอย่างมีประสิทธิภาพ และ - การวางกฎเกณฑ์การคำนวนค่าใช้จ่ายเพื่อการจัดการบริการสาธารณะอย่างโปร่งใส มาปรับใช้กับกระบวนการการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในประเทศไทยแล้วก็จะเป็นประโยชน์แก่การพัฒนาที่ยั่งยืนอีกด้วย
[1] บริการสาธารณะ ตามทฤษฎีฝรั่งเศส แบ่งได้เป็น ๒ ประเภทหลักๆ คือ ๑) บริการสาธารณะทางปกครอง (Service public administratif) เช่น การป้องกันประเทศ การรักษาความสงบ เป็นต้น ซึ่งผู้เขียนไม่กล่าวถึงในที่นี้ เนื่องจากเป็นบริการซึ่งไม่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจ และไม่อยู่ในขอบเขตของการเปิดเสรี ๒) บริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและการค้า (Service public industriel et commercial) อนึ่ง คำว่าการเปิดเสรีบริการสาธารณะที่จะกล่าวถึงในที่นี้ ให้หมายถึง บริการเพื่อประโยชน์ส่วนรวมทางเศรษฐกิจ ซึ่งสหภาพยุโรปกำหนดใช้คำว่า Service d’intérêt économique général โดยบริการดังกล่าวครอบคลุมถึง การให้บริการไฟฟ้า น้ำประปา การขนส่ง การสื่อสาร การไปรษณีย์ เป็นต้น [2]art. 2 Traité instituant la communauté européenne « La Communauté a pour mission, par l'établissement d'un marché commun, d'une Union économique et monétaire et par la mise en oeuvre des politiques ou des actions communes (…) » [3] art. 14 Traité instituant la communauté européenne « Le marché intérieur comporte un espace sans frontières intérieures dans lequel la libre circulation des marchandises, des personnes, des services et des capitaux est assurée selon les dispositions du présent traité. » [4] Loi n°90-568 du 2 juillet 1990 relative à l'organisation du service public de la poste et à France Télécom จัดตั้งนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน (personne morale de droit public) ขึ้น ๒ นิติบุคคลภายได้การควบคุมดูแลของรัฐมนตรีรับผิดชอบเกี่ยวกับการสื่อสาร ได้แก่ La poste และ France telecom โดย La poste ใช้กฎหมายพิเศษ ส่วน France Telecom ใช้กฎหมายเดียวกับบริษัทการค้าทั่วไป [5] J.M. CHEVALIER, Les grandes batailles de l’énergie, Gallimard, 2004, p.190 s. [6] ตัวอย่างการแปรรูป France Telecom - Loi n° 96-660 du 26 juillet 1996 relative à l'entreprise nationale France Télécom แปรสภาพ France Telecom จากนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน เป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งรัฐถือหุ้นเกินครึ่งของหุ้นทั้งหมด ต่อมา Loi n°2003-1365 du 31 décembre 2003 relative aux obligations de service public des télécommunications et à France Télécom กำหนดให้ France Telecom อยู่ในรายการรัฐวิสาหกิจที่จะต้องถูกแปรรูป [7] M. BOITEUX, « Régulation des tarif et régulation des marché » in Concurrence et service public, Harmattan, 2003, p. 19 s. [8] J.Y. CHEROT, Droit public économique, Economica, 2002, p. 551 s. [9] F. JENNY, « Régulateurs sectoriels et autorité de la concurrence en France et dans le monde » in Concurrence et service public, op.cit., p. 33 s. [10] Art. 86 du Traité instituant la Communauté européenne « (…) 2. Les entreprises chargées de la gestion de services d'intérêt économique général ou présentant le caractère d'un monopole fiscal sont soumises aux règles du présent traité, notamment aux règles de concurrence, dans les limites où l'application de ces règles ne fait pas échec à l'accomplissement en droit ou en fait de la mission particulière qui leur a été impartie. Le développement des échanges ne doit pas être affecté dans une mesure contraire à l'intérêt de la Communauté. (…) » [11] D. BRAULT, « Service public et position dominante : peut – il y avoir abus ? », Rev. Lamy conc., nov. 2004 – janv. 2005, n°1, p. 183. [12] CJCE C-320/91 du 19 mai 1993, Corbeau. [13] Art. 82 du Traité instituant la Communauté européenne « Est incompatible avec le marché commun et interdit, dans la mesure où le commerce entre États membres est susceptible d'en être affecté, le fait pour une ou plusieurs entreprises d'exploiter de façon abusive une position dominante sur le marché commun ou dans une partie substantielle de celui-ci. Ces pratiques abusives peuvent notamment consister à: a) imposer de façon directe ou indirecte des prix d'achat ou de vente ou d'autres conditions de transaction non équitables; b) limiter la production, les débouchés ou le développement technique au préjudice des consommateurs; c) appliquer à l'égard de partenaires commerciaux des conditions inégales à des prestations équivalentes, en leur infligeant de ce fait un désavantage dans la concurrence; d) subordonner la conclusion de contrats à l'acceptation, par les partenaires, de prestations supplémentaires qui, par leur nature ou selon les usages commerciaux, n'ont pas de lien avec l'objet de ces contrats. »
(กลับไปข้างบน) / (กลับไปหน้าแรกเรื่องอยากเล่า) / (กลับไปหน้าแรก)
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005
|
|||||||||