ศัพท์กฎหมายฝรั่งเศส

Internet pour le droit

เรื่องอยากเล่า

Salon d'Aix

webboard

คุยกับดอกแก้ว

จดหมายเหตุ


ดู TV ฟังวิทยุ อ่าน นสพ.
การ Set เพื่อพิมพ์ไทย
โทรกลับไทย IRADIUM
โทรกลับไทย Telerabais

ที่ตั้งและแผนที่ Aix
การเดินทางและตารางรถ

ตารางรถประจำทางใน AIX
ตารางรถไป Marseille และ Plan de campagne
ตารางรถPays d'Aix ไป Plan
    สภาพอากาศประจำวัน
    ที่ Aix-en-Provence


Webboard

Thaiaixois Gallery
ศัพท์กฎหมายฝรั่งเศส
Internet pour le droit
เรื่องอยากเล่า (วิชาการ)
สภากาแฟ Salon d'Aix
คุยกับดอกแก้ว
จดหมายเหตุ
ส่ง e-cartes  virtuelles d'Aix-en-Provence

(กระทู้)การขอทุนเรียนที่ฝรั่งเศส

การปรับหลักสูตรมหาวิทยาลัยของฝรั่งเศส

คู่มือศึกษาต่อในประเทศฝรั่งเศส (โดยสารสนเทศการศึกษาต่อต่างประเทศ)

คู่มื่อเลือกมหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส( Guide Lamy des 3es cycles)

โรงเรียนสอนภาษาฝรั่งเศส IEFEE


มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในฝรั่งเศส

มหาวิทยาลัยใน Aix
Université de Provence 
Université de la Mediterranee

Université Paul Cézanne (Universitéde Droit, d'Economie et des Sciences d'Aix-Marseille3)

สถาบันศึกษาอื่น


ที่พักอาศัย
 - ที่พักของมหาวิทยาลัย
( CROUS)

ที่พักของเอกชน
 
- (Estudines)
 
-  (Citadine)  
 -
หาที่พักกับ adele.org
 - หาที่พักกับ office de tourisme
 - พักที่บ้านพักเยาวชน(Auberge de jeunesse)

การขอเงินช่วยเหลือค่าที่พัก(CAF)


การติดต่อที่จำเป็น

การติดต่อขอใบอนุญาตพักอาศัยในประเทศ(Carte de sejour)
 - เอกสารที่ต้องใช้ 1/ 2 /3
 - ติดต่อ
Prefecture des Bouches-du-Rhone
 - (กระทู้Thaiaixoisที่เกี่ยวข้อง)

การประกันสุขภาพ
 - การติดต่อประกันสุขภาพ
Securite sociale)
 - MEP ประกันสุขภาพของนักเรียน(อายุไม่เกิน 25 ปี)
 - Assurance étudiant (อายุไม่เกิน 40 ปี)

อื่น ๆ
 - การทำงานนอกเวลา
 - การต่ออายุหนังสือเดินทาง


ลิงค์เพื่อนบ้าน
Thai Law Reform
สมาคมนักเรียนไทยในรั่งเศส
เพื่อนไทยในเกรอนอบ
เพื่อนไทยในตูลูส
เพื่อนไทยในลียง

ABC-Bittorrent Client โดย pingpong
เพื่อนไทยในเบลเยี่ยม
สำนักงานผู้ดูแลนักเรียนฯ
เล่าข้ามฟ้ากับนาย Baguette
Pokpong's
Nujern's homepage
Café Lunar

Cafe Lunar สาขา 2
Le Journal de TAUNG
Artsstudio

 

ทฤษฎีบริการสาธารณะในกฎหมายปกครองฝรั่งเศส : ข้อความคิด  แนวทางการใช้ และระบบกฎหมาย[1]
โดย ธีระชัย จาตุรนต์สวัสดิ์


 

(คลิ๊กเพื่อโหลดอ่านด้วย PDF ไฟล์)

คลิ๊กเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ

   เค้าโครงส่วนที่หนึ่ง

 

            I. การเกิดขึ้นของข้อความคิด  แนวทางการใช้ และระบบกฎหมายของทฤษฎีบริการสาธารณะ

                         1.        การเกิดขึ้นของข้อความคิดเกี่ยวกับทฤษฎีบริการสาธารณะ  

                                   (1)     ความหลากหลายของทฤษฎีบริการสาธารณะ  

                                                (1.1) ทฤษฎีบริการสาธารณะในเชิงภาวะวิสัย

                         (1.2) ทฤษฎีบริการสาธารณะ ในเชิงอัตวิสัย

             (2)     เกณฑ์พื้นฐานที่ใช้พิจารณาลักษณะของบริการสาธารณะ  

                        (2.1) เกณฑ์พื้นฐานที่ใช้ “องค์กร”เป็นแนวทางในการพิจารณา: บุคคลตามกฎหมายมหาชน

                        (2.2) เกณฑ์พื้นฐานที่ใช้ วัตถุประสงค์ ของภารกิจในการพิจารณา: ประโยชน์สาธารณะ

                       (2.3) เกณฑ์พื้นฐานที่ใช้ เนื้อหากฎหมาย ในการพิจารณา : ระบบกฎหมายพิเศษที่แยกออกจากระบบกฎหมายแพ่ง

2.        การเกิดขึ้นของแนวทางการใช้ทฤษฏีบริการสาธารณะ

               (1)     บริการสาธารณะในฐานะเกณฑ์ทั่วไปหนึ่งเดียวที่ใช้โดยตรงกับกฎหมายปกครอง 

               (2)   บริการสาธารณะในฐานะเกณฑ์พิเศษที่ใช้กับข้อความคิดอื่นๆในกฎหมายปกครอง

                         (2.1) บริการสาธารณะในฐานะที่กำหนดหลักเกณฑ์ในทางเนื้อหาและแนวทางการใช้เกี่ยวกับการกระทำทางปกครอง

                        (2.2) บริการสาธารณะในฐานะที่กำหนดหลักเกณฑ์ในทางเนื้อหาและแนวทางการใช้เกี่ยวกับเครื่องมือในการดำเนินงานทางปกครอง

                       (2.3) บริการสาธารณะในฐานะที่กำหนดหลักเกณฑ์ในทางเนื้อหาหรือแนวทางการใช้เกี่ยวกับความรับผิดทางปกครอง

3.     การเกิดขึ้นของระบบกฎหมายบริการสาธารณะ 

               (1)   ระบบกฎหมายทั่วไปที่ใช้กับบริการสาธารณะทุกประเภท  

                         (1.1) หลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะ(La continuité) 

                          (1.2) หลักความเสมอภาคต่อหน้าบริการสาธารณะ(L’égalité)

                          (1.3) หลักการปรับตัวของบริการสาธารณะ (Adaptation ou Mutation)

               (2) ระบบกฎหมายเฉพาะที่ใช้กับบริการสาธารณะบางประเภท 

                          (2.1) ปัญหาลักษณะทางกฎหมายของการผูกขาดบริการสาธารณะ (Question juridique du monopole des services publics)

                          (2.2) ปัญหาในเรื่องราคาหรือค่าบริการของบริการสาธารณะ(Question du prix des services publics) 

 

คลิ้กเพื่ออ่านต่อส่วนที่ II ปัญหาของข้อความคิด แนวทางการใช้ และระบบกฎหมายของทฤษฎีบริการสาธารณะ

 

..........................................................................................................................................................................................................

             บทนำ

                ทฤษฎีบริการสาธารณะในกฎหมายปกครองฝรั่งเศสเป็นหลักกฎหมายมหาชนหลักหนึ่งที่ถูกอ้างอิง  ปรับใช้อย่างมากมายในข้อความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับรัฐ, ข้อความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมายปกครอง และข้อความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับ
คดีปกครอง  หลักกฎหมายนี้เริ่มในยุคสมัยการศึกษากฎหมายมหาชนอย่างทั้งมวล[2]  ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่  19 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20[3] โดยการริเริ่มของศาสตราจารย์ เล-อง ดูกีต์ (
Léon DUGUIT) และพัฒนาต่อมาโดยสานุศิษย์ของดูกีต์เอง ณ สำนักบอร์กโดซ์ (École de Bordeaux) หรือที่เรียกว่า สำนักบริการสาธารณะ” (École du service public) [4]

                ในช่วงเริ่มต้นการใช้ทฤษฎีบริการสาธารณะอธิบายข้อความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับรัฐ, เกี่ยวกับกฎหมายปกครอง  และเกี่ยวกับคดีปกครอง แสดงความหลากหลายของข้อความคิด แนวทางการใช้ และระบบกฎหมาย ตลอดจนปัญหาที่เกิดขึ้นกับข้อความคิด แนวทางการใช้และระบบกฎหมายของทฤษฎีนี้ในการปรับตัวเข้ากับความต้องการของการเมือง การปกครองและเศรษฐกิจของสังคมฝรั่งเศส โดยผ่านการพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองและการตีความของนักวิชาการ

                บทความนี้จึงต้องการแสดงให้เห็นถึงบทบาท วิวัฒนาการและปัญหาที่เกิดขึ้น ในช่วงเริ่มต้นของทฤษฎีบริการสาธารณะ  เพื่อใช้เป็นแนวทางในการทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของทฤษฎีดังกล่าว ซึ่งก็เป็นเหตุผลอยู่ในตัวที่จะต้องกล่าวถึงทฤษฎีบริการสาธารณะในฐานะข้อความคิดทางกฎหมาย(Notion juridique)[5]เป็นหลัก  และกล่าวถึงทฤษฎีบริการสาธารณะในฐานะที่เป็นการจัดองค์กรเพื่ออำนวยให้มีการจัดสรรบริการแก่ผู้ใช้บริการ (Organisation fournissante des prestations aux usagers) [6] เป็นส่วนประกอบ โดยไม่ก้าวล่วงไปถึงทฤษฎีบริการสาธารณะในชั้นหลังที่มีการพัฒนาไปแล้วในกฎหมายฝรั่งเศส และในชั้นของกฎหมายประชาคมยุโรป

                เนื้อหาของบทความแบ่งออกเป็นสองส่วน  ส่วนแรก กล่าวถึงการเกิดขึ้นของข้อความคิด  แนวทางการใช้และระบบกฎหมายของทฤษฎีบริการสาธารณะ  ส่วนที่สองจะกล่าวถึง  ปัญหาของข้อความคิด แนวทางการใช้และระบบกฎหมายของทฤษฎีบริการสาธารณะ   

 

 

I. การเกิดขึ้นของข้อความคิด  แนวทางการใช้ และระบบกฎหมายของทฤษฎีบริการสาธารณะ  

การเกิดขึ้นของข้อความคิดเกี่ยวกับทฤษฎีบริการสาธารณะส่งผลให้เกิดแนวทางการใช้ทฤษฎีดังกล่าว และ
ทั้งข้อความคิดตลอดจนแนวทางการใช้ของทฤษฎีดังกล่าวนี้ ได้ส่งผลให้เกิดระบบกฎหมายของทฤษฎีบริการสาธารณะ  

1.        การเกิดขึ้นของข้อความคิดเกี่ยวกับทฤษฎีบริการสาธารณะ  

เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ทฤษฎีบริการสาธารณะ เกิดขึ้นจากนักกฎหมายสำนักบอร์กโดซ์  ระยะแรกขอบเขตของทฤษฎียังมิได้เป็นไปในทางเดียวกัน   นักกฎหมายบางท่านใช้ทฤษฎีบริการสาธารณะ อธิบายรัฐ
และข้อจำกัดอำนาจของรัฐ  บ้างก็ใช้ทฤษฎีนี้อธิบายข้อความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมายปกครอง หรือเขตอำนาจศาลของศาลปกครอง  ความหลากหลายของทฤษฎีบริการสาธารณะ จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  อย่างไรก็ตาม  ความหลากหลายนี้ได้ให้  เกณฑ์พื้นฐานที่ใช้พิจารณาความเป็นบริการสาธารณะ 

(1)     ความหลากหลายของทฤษฎีบริการสาธารณะ  

ความหลากหลายของทฤษฎีบริการสาธารณะเกิดจากความคิดในการอธิบายทฤษฎีบริการสาธารณะที่แตกต่างกันระหว่าง เล-อง ดูกีต์ (Léon DUGUIT) กับ กาสตง แจซ (Gaston JEZE) กล่าวคือ ดูกีต์อธิบายและใช้ทฤษฎีบริการสาธารณะในฐานะข้อจำกัดอำนาจรัฐ  โดยให้ความหมายทฤษฎีบริการสาธารณะว่าเป็นเครื่องมือหรือวิธีการที่ใช้กำหนดกรอบการกระทำของรัฐในเชิงภาวะวิสัย( un moyen d’encadrer de manière objective l’action de l’Etat)   ส่วนแจซ  ซึ่งเป็นศิษย์ของดูกีต์ มีความต้องการให้ทฤษฎีบริการสาธารณะ เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติและมุ่งที่จะใช้ทฤษฏีนี้อธิบายถึงความเป็นมาของกฎหมายที่มีหรือใช้อยู่  โดยได้เสนอทฤษฎีบริการสาธารณะ ในเชิงอัตวิสัยที่อธิบายความเป็นจริงของทฤษฎีนี้
ได้ดียิ่งขึ้น

(1.1) ทฤษฎีบริการสาธารณะในเชิงภาวะวิสัย[7]

 

ดูกีต์ได้เสนอทฤษฎีนี้เพื่อแย้งความเชื่อที่ว่าอำนาจรัฐเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับเจตน์จำนงของรัฐ  โดยเห็นว่า
ในการปกครอง  ผู้ปกครองไม่ได้ใช้อำนาจ  แต่เป็นการจัดทำภาระหน้าที่ของตนที่มีต่อผู้ใต้ปกครองให้สำเร็จ  ผู้ปกครอง
จึงมีภาระหน้าที่ต่อผู้ใต้ปกครอง  การบังคับการตามภาระหน้าที่นี้เป็นทั้งผลและความเหมาะสมของการใช้อำนาจในเวลาเดียวกัน[8]   ...ถ้าผู้ปกครองใช้อำนาจ  สิ่งนี้ก็เพื่อทำให้บรรลุภาระหน้าที่ในงานทางปกครอง  เพื่อประโยชน์ของพลเมืองที่
อยู่ใต้การปกครองทั้งหลาย  ซึ่งก็คือในนามของประโยชน์สาธารณะ...ไม่ใช่ในนามของอำนาจรัฐ ที่เป็นของรัฐและกระทำเพื่อรัฐ[9]  ดูกีต์ให้คำจำกัดความคำว่า บริการสาธารณะว่า คือกิจกรรมทุกประเภทที่ผู้ปกครองจะต้องก่อให้เกิดขึ้นจริงโดยประกันหรือรับรองตลอดจนจัดระบบระเบียบและควบคุม  เนื่องจากการเกิดขึ้นของกิจกรรมดังกล่าวเป็นสิ่งที่ขาดเสียไม่ได้  ในการก่อให้เกิดและพัฒนาสังคมแห่งการพึ่งพาอาศัยกันในความเป็นจริง  และที่สำคัญที่สุดกิจกรรมดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อมีการแทรกแซงเข้ามาจัดการของผู้ปกครอง[10]  ในทางกฎหมายดูกีต์อธิบายคำว่าบริการสาธารณะในบริบทเช่นเดียวกับคำว่า กฎหมายรัฐถูกจำกัดโดยอำนาจกฎหมายในเชิงภาวะวิสัยกล่าวคือ  ถูกจำกัดโดยกฎหมายซึ่งอยู่ นอกและเหนือ รัฐ  กฎหมายนี้เป็นผลจากปัจจัยทางสังคมที่มีสภาพบังคับ  ได้แก่ จิตสำนึกของสังคม(Conscience sociale)  และการพึ่งพาอาศัยกันของสังคม(Solidarité sociale)   บทบาทของรัฐจึงเป็นการทำงานโดยผ่านบริการสาธารณะ(หรือกฎหมาย) เพื่อสร้างสังคมที่พึ่งพาอาศัยกันให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งก็คือสร้างเสถียรภาพของสังคม[11]   บริการสาธารณะในแง่นี้จึงหมายถึงทั้งภาระหน้าที่ในทางสังคมของรัฐ และกฎหมายที่สอดคล้องกับสังคมในเวลาเดียวกัน  ดังนั้น รัฐจึงไม่ใช่สิ่งที่คนเราต้องการทำหรือต้องการให้มันเป็นอย่างที่เราต้องการ ในเวลาที่(รัฐ)ใช้อำนาจสั่งการ หรือใช้อำนาจอธิปไตย (แต่)รัฐคือความร่วมมือกันดำเนินบริการสาธารณะที่ถูกจัดขึ้นและถูกควบคุมโดยผู้ปกครอง[12]  ในแง่นี้ บริการสาธารณะจึงหมายถึงรัฐที่มีฐานะเป็นองค์กรหรือสถาบัน  คำจำกัดความ ทฤษฎีบริการสาธารณะในเชิงภาวะวิสัยของดูกีต์ ทำให้บริการสาธารณะเป็นสิ่งที่มีอยู่คู่กับรัฐ เป็นทั้งพื้นฐานและข้อจำกัดอำนาจของผู้ปกครองในเวลาเดียวกัน[13]

นอกจากดูกีต์แล้วโมริซ โอรีอู (Maurice HAURIOU) นักกฎหมายคนสำคัญของสำนักกฎหมายตูลูส (Ecole de Toulouse) ก็มีแนวโน้มยอมรับลักษณะของบริการสาธารณะในเชิงภาวะวิสัย  โดยเห็นว่า กิจการที่จะเป็นบริการสาธารณะได้ จะต้องมีลักษณะในทางภาวะวิสัยโดยตัวของมันเองที่สามารถเป็นข้อจำกัดอำนาจรัฐ(L’autolimitation objective de la puissance publique) [14] ดังจะเห็นได้จากบันทึกท้ายคำพิพากษาสภาแห่งรัฐของโอรีอูที่กล่าวว่า ละครเวที(théâtre)ไม่มีลักษณะเป็นบริการสาธารณะ[15] หลักการเดียวกันนี้ได้ถูกอ้างโดยตุลาการผู้แถลงคดีมัตเต้ (Matter) ในคดีที่มีชื่อเสียงของศาลคดีขัดกันว่า บริการสาธารณะจะต้องมีลักษณะหรือสาระสำคัญเช่นเดียวกับรัฐหรือฝ่ายปกครอง[16] (เพื่อที่จะสามารถเป็นที่มาและข้อจำกัดอำนาจรัฐหรือฝ่ายปกครองได้)

ในทางปฏิบัติมีการใช้ทฤษฎีบริการสาธารณะในเชิงภาวะวิสัยหลายกรณี เช่น ตุลาการรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสได้ตัดสินวางหลักว่า ฝ่ายนิติบัญญัติจะต้องผูกพันกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการใช้อำนาจอธิปไตยหรือการใช้สิทธิเรียกร้องตามกิจกรรมที่กำหนดไว้ในคำปรารภของรัฐธรรมนูญปี 1946 [17](ซึ่งนำมาใช้บังคับกับรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน) เพราะ กิจกรรมดังกล่าว(โดยตัวของมันเอง)ผูกพันรัฐในฐานะที่เป็นที่มาและข้อจำกัดของอำนาจรัฐ ด้วยเหตุนี้กิจกรรมเกี่ยวกับการจัดเก็บขยะมูลฝอยของเทศบาล การป้องกันอัคคีภัย หรือการขนส่งเด็กนักเรียน ของการปกครองส่วนจังหวัดจึงเป็นบริการสาธารณะในความหมายนี้ด้วย

(1.2) ทฤษฎีบริการสาธารณะ ในเชิงอัตวิสัย
 

แจซ  มีแนวความคิดเกี่ยวกับทฤษฎีบริการสาธารณะตามความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่ในทางปฏิบัติ  มากกว่าจะอธิบายทฤษฎีบริการสาธารณะในสิ่งที่ควรจะเป็นตามแนวอุดมคติ  แจซเห็นข้อบกพร่องของอาจารย์ตัวเอง  และพยายามให้คำนิยามในเชิงกฎหมายมากขึ้นเพื่อความชัดเจน เขายืนยันอย่างมีเหตุผลว่า  บริการสาธารณะไม่ได้มีอยู่หรือเกิดขึ้นโดยตัวของมันเอง  ดังเช่นทฤษฎีบริการสาธารณะของดูกีต์  แต่บริการสาธารณะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเจตน์จำนงของผู้ปกครองในความหมายอย่างกว้าง โดยเฉพาะผู้ร่างกฎหมาย  แจซ กล่าวว่า บริการสาธารณะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เฉพาะเมื่อมีความต้องการของส่วนรวมหรือมีผลประโยชน์สาธารณะที่จะต้องดำเนินการและผู้ปกครองของประเทศนั้นได้ตัดสินใจดำเนินการในขณะนั้นโดยวิธีการของ บริการสาธารณะ [18]

อองเดร์ เดอ โลบาแดร์ (André de Laubadère) เป็นนักกฎหมายสำนักบอร์กโดซ์อีกคนหนึ่งที่เห็นด้วยกับมุมมองบริการสาธารณะในเชิงอัตวิสัย  โดยให้คำจำกัดความบริการสาธารณะว่า เป็นอำนาจมหาชนที่ตัดสินว่าในช่วงเวลาเช่นนั้น  ความต้องการของสาธารณะเช่นนั้นจะต้องหรือสมควรเหมาะสมที่จะต้องดำเนินการโดยวิธีการเช่นนั้น  และสิ่งนี้ได้ก่อให้เกิดการจัดทำบริการสาธารณะเช่นนั้นขึ้น [19]

ข้อความคิดนี้ ได้ถูกนำมาอ้างและปรับใช้ในทางปฏิบัติโดยฝ่ายนิติบัญญัติที่ต้องการจะแก้ไขปรับปรุงคุณภาพหรือมาตรฐานกิจกรรมใดๆของบริการสาธารณะ  ตัวอย่างเช่น การปรับปรุงแก้ไขหรือปฏิรูปการศึกษาขั้นสูงในฝรั่งเศสตาม loi n° 84-52, 26 มกราคม 1984, การปฏิรูปเรือนจำตาม loi n° 87-432, 22 มิถุนายน 1987, การติดต่อสื่อสารตาม loi n° 96-659, 26 กรกฎาคม 1996, การขนส่งทางรถไฟตาม loi n° 97-135, 13 กุมภาพันธ์ 1997, การไฟฟ้า ตาม loi n° 2000-108, 10 กุมภาพันธ์ 2000 เป็นต้น ทั้งนี้ฝ่ายนิติบัญญัติได้อ้างความชอบธรรมในคำปรารภของรัฐธรรมนูญปี 1946 เสมอเกี่ยวกับลักษณะของกิจกรรมบริการสาธารณะที่ต้องจัดทำ

ทฤษฎีบริการสาธารณะ ทั้งในแง่ภาวะวิสัยและอัตวิสัยได้ให้องค์ประกอบพื้นฐานที่แน่นอนบางประการในการพิจารณาลักษณะของบริการสาธารณะที่เกิดขึ้นในกฎหมายปกครองฝรั่งเศสดังจะได้กล่าวต่อไปในหัวข้อ  (2) 

(2)     เกณฑ์พื้นฐานที่ใช้พิจารณาลักษณะของบริการสาธารณะ  

นักกฎหมายสำนักบอร์กโดซ์ได้ศึกษาวิเคราะห์ลักษณะในเชิงภาวะวิสัยและอัตวิสัยของข้อความคิดเกี่ยวกับทฤษฏีบริการสาธารณะที่เกิดขึ้น  และยอมรับเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาทฤษฎีนี้ 3 เกณฑ์ด้วยกัน  ได้แก่  

(2.1) เกณฑ์พื้นฐานที่ใช้ องค์กรเป็นแนวทางในการพิจารณา: บุคคลตามกฎหมายมหาชน
 

เกณฑ์พื้นฐานที่ใช้ลักษณะขององค์กรเป็นมุมมองจะกำหนดหรือตัดสินความเป็นบริการสาธารณะว่า บริการสาธารณะคือสิ่งที่ถูกดำเนินการโดยองค์กรที่เป็นบุคคลตามกฎหมายมหาชน  เกณฑ์นี้ได้รับการพัฒนาจากนักฎหมายมหาชนในยุคเริ่มแรก  เช่นความคิดของดูกีต์ที่ว่า บริการสาธารณะต้องเป็นกิจกรรมที่อยู่ภายใต้การดำเนินงาน การกำหนดกฎเกณฑ์และการควบคุมตรวจสอบโดยผู้ปกครอง หรือความคิดของหลุยส์ โฮลอง (Louis Rolland)  ที่ว่า บริการสาธารณะเป็นสถาบันที่อยู่ภายใต้แนวทางบริหารของผู้ปกครอง

เห็นได้ชัดว่าในยุคสมัยหนึ่ง  ความคิดหรือเกณฑ์พื้นฐานเกี่ยวกับบริการสาธารณะจะใช้ลักษณะองค์กรของฝ่ายปกครองเป็นหลักในการตัดสิน (เช่น บริการสาธารณะเกี่ยวกับการสอนจะสอดคล้องกับการบริหารการศึกษาของชาติหรือขององค์กรฝ่ายปกครอง) และยังส่งผลให้เกิดการแบ่งประเภทของวิธีการจัดทำบริการสาธารณะในทางกฎหมายปกครองดังนี้

ก. วิธีการจัดทำโดยรัฐเข้าจัดการเองโดยตรง (La régie) ถือว่าเป็นวิธีการทั่วไปเกี่ยวกับการจัดทำบริการสาธารณะ กล่าวคือ องค์กรของรัฐจะเข้าจัดทำกิจกรรมของบริการสาธารณะหนึ่งๆโดยตรงด้วยบุคลากร อุปกรณ์ และการเงินเฉพาะของตัวเอง  ในปัจจุบันนี้แม้ว่าจะมีการจัดองค์กรฝ่ายปกครองอย่างหลากหลายซับซ้อนต่างไปจากเดิม  วิธีการนี้ก็ยังคงใช้อยู่กับงานส่วนใหญ่ของฝ่ายปกครองทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น

ข. วิธีการจัดทำบริการสาธารณะโดยตั้งองค์การมหาชนอิสระ (L’Etablissement public) ซึ่งเป็นองค์กรกระจายอำนาจในทางบริการเป็นผู้จัดการโดยตรง  ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ฝ่ายปกครองได้สร้างนิติบุคคลมหาชนพิเศษที่มีวัตถุประสงค์ในการจัดการและให้ประโยชน์ทางการศึกษาหรือสุขภาพขึ้นมา  ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐ(ฝ่ายปกครองที่สร้างองค์กรกระจายอำนาจนี้)

ค. วิธีการจัดทำบริการสาธารณะโดยให้สัมปทาน คือ วิธีการที่บุคคลในทางกฎหมายมหาชน(รัฐหรือฝ่ายปกครองส่วนท้องถิ่น)ทำสัญญาให้เอกชนมีหน้าที่จัดทำบริการสาธารณะนั้นแทนฝ่ายปกครอง  ภายในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่กำหนดไว้  อาจมีข้อสังเกตว่าองค์ประกอบของเกณฑ์เกี่ยวกับองค์กรในเรื่องนี้ถูกละเมิดอยู่บ้าง  แต่หากมองให้ถี่ถ้วนแล้วจะเห็นว่ามิได้มีการละเมิดเกณฑ์ดังกล่าวแต่อย่างใด  โดยมีข้อสนับสนุนสองประการคือ ประการแรก  องค์กรฝ่ายปกครองยังคงเป็นผู้มีอำนาจกำหนดแนวทางและควบคุมกิจกรรมที่ดำเนินการในงานสัมปทาน (โดยกำหนดบทบัญญัติและเงื่อนไขในการบังคับตามสัญญาไว้ในเอกสารท้ายสัญญาสัมปทาน(Cahiers des charges))  ประการที่สอง เทคนิคในการให้สัมปทานจะถูกใช้ในขอบเขตที่จำกัดหากเป็นบริการสาธารณะประเภทอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม เช่น การจำหน่ายก๊าซ ไฟฟ้า น้ำ หรือการขนส่งทางรถไฟ   

(2.2) เกณฑ์พื้นฐานที่ใช้ วัตถุประสงค์ ของภารกิจในการพิจารณา: ประโยชน์สาธารณะ
 

เกณฑ์พื้นฐานนี้เกี่ยวข้องกับเป้าหมายสุดท้ายที่บริการสาธารณะจะต้องมุ่งไปสู่  ซึ่งก็คือ ประโยชน์สาธารณะหรือประโยชน์ส่วนรวม (L’intérêt général) นักกฎหมายสำนักบอร์กโดซ์ตั้งข้อสังเกตว่า  การใช้ประโยชน์สาธารณะเป็นมุมมองในการพิจารณาว่ากิจการใดๆ เป็นบริการสาธารณะหรือไม่นั้น  จะต้องคำนึงอยู่เสมอว่าประโยชน์สาธารณะเป็นข้อความคิดที่เปลี่ยนแปลงได้ตามยุคสมัย  ดังนั้น  จึงควรหาลักษณะที่แน่นอนของประโยชน์สาธารณะในการพิจารณา  และจากแนวทางที่ผ่านมาในอดีตจะเห็นได้ว่าประโยชน์สาธารณะมีลักษณะบางประการที่แน่นอน ดังนี้

ก. ประโยชน์สาธารณะในยุคเริ่มแรกมีลักษณะเป็นข้อความคิดที่จำกัดเฉพาะเรื่อง กล่าวคือ เฉพาะกิจกรรมที่มีความจำเป็นในการจัดการหรือทะนุบำรุงให้สังคมดำเนินไปด้วยความสงบสุขเท่านั้น  ที่จะถือว่าเป็นการจัดทำเพื่อประโยชน์สาธารณะและเป็นบริการสาธารณะ   ดังนั้น  บริการสาธารณะจึงเป็นเรื่องที่ผูกติดกับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตย  เช่น การจัดการเรียนการสอนของประเทศ  การให้ความช่วยเหลือในทางสังคมและการสาธารณสุข  เราอาจพูดได้ว่าบริการสาธารณะ  ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับรัฐ  และการใช้อำนาจรัฐเพื่อส่วนรวม (ประโยชน์สาธารณะ)

ข. ประโยชน์สาธารณะไม่ครอบคลุมถึงกิจกรรมในทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม  ซึ่งโดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับการจัดทำหรือบริการภาคเอกชนที่มุ่งแสวงหากำไร โดยอ้างเหตุผลจากการตีความตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม เช่น สภาแห่งรัฐได้ปฏิเสธคดีเกี่ยวกับการจัดทำบริการสาธารณะในทางเศรษฐกิจของเทศบาลที่เกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ว่าไม่ถือเป็นการจัดทำบริการสาธารณะ และไม่ใช่การกระทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ เนื่องจากการกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดการผูกขาดและขัดต่อเสรีภาพของปัจเจกชนในทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม[20]

อย่างไรก็ตาม ต่อมาสภาแห่งรัฐได้ให้เหตุผลใหม่ว่า  การจัดทำบริการของท้องถิ่นในทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมจะมีลักษณะของบริการสาธารณะ(เพราะถือว่าเป็นการจัดทำประโยชน์สาธารณะ)เมื่อกรณีเป็นการตอบสนองความยากหรือความเป็นไปไม่ได้ที่เอกชนจะจัดทำบริการดังกล่าวทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ  และไม่มีวิธีอื่นใดอีกที่จะตอบสนองความต้องการนี้ของประชาชน[21]

ค. ประโยชน์สาธารณะไม่ได้มีลักษณะเหมือนเป็นผลรวมของประโยชน์ของ
ปัจเจกชนหรือกลุ่มผลประโยชน์ในสังคม  แต่ประโยชน์สาธารณะ
อยู่เหนือผลประโยชน์ดังกล่าว และแสดงให้เห็นถึงลักษณะที่เป็นตัวตัดสิน  โดยคำนึงและประสานประโยชน์ของปัจเจกชนหรือกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆในสังคมเข้าด้วยกัน[22]   ทั้งนี้  ประโยชน์สาธารณะได้แสดงนัย 2 ประการ  คือ นัยทางปริมาณ  คือการถือเอาประโยชน์ของคนส่วนมาก และนัยทางคุณภาพ  คือการถือเอาคุณค่าที่แสดงให้เห็นหรือสนองตอบต่อความต้องการในสังคมมากที่สุด[23] 

                                (2.3) เกณฑ์พื้นฐานที่ใช้ เนื้อหากฎหมาย ในการพิจารณา : ระบบกฎหมายพิเศษที่แยกออกจากระบบกฎหมายแพ่ง
 

เกณฑ์ในทางเนื้อหากฎหมายนี้  เกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์ของกฎหมายที่ใช้บังคับกับบริการสาธารณะ  (Les règles de droits applicables au service public)  เนื่องจากนักทฤษฏีในยุคแรกๆ เกรงว่าแม้จะใช้เกณฑ์ในเรื่องประโยชน์สาธารณะตัดสินความเป็นบริการสาธารณะแล้วก็ตาม  แต่บริการดังกล่าวก็อาจตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ในทางกฎหมายแพ่งได้  ดังนั้น จึงสมควรกำหนดให้บริการสาธารณะเป็นกิจกรรมที่อยู่ภายใต้ระบบกฎหมายพิเศษแยกออกไปต่างหากจากกฎหมายแพ่ง(กฎหมายทั่วไปที่ใช้บังคับอยู่)  (dérogatoire au droit privé ou exorbitant du droit commun) ซึ่งก็คือ อยู่ภายใต้กฎหมายปกครอง   แจซได้อ้างคำแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดีดาวิด (David) ในคดี Blanco ( 8 กุมภาพันธ์ 1873 ) ที่ว่าบริการสาธารณะเป็นสิ่งที่เรียกร้องให้มีระบบกฎหมายพิเศษเมื่อมีการจัดการของภาครัฐ (gestion publique) ดังนั้น บริการสาธารณะจึงเป็นวิธีการจัดทำหรือการดำเนินการที่มีเนื้อหาทางกฎหมายเป็นพิเศษในตัวเพื่อให้การจัดทำบริการบรรลุเป้าหมายหรือตอบสนองความต้องการส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะได้ เช่น ผู้จัดทำบริการสาธารณะมีสถานะพิเศษคือเป็นข้าราชการ  ตามระบบกฎหมายข้าราชการของรัฐ ที่ดินที่ใช้มีสภาพเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน อยู่ภายใต้หลักกฎหมายปกครองในการคุ้มครองมิให้มีการซื้อขาย โอน ไม่อยู่ในบังคับของการบังคับคดีหรืออายุความ  และมีวิธีการใช้โดยเฉพาะ  การกระทำของผู้จัดทำบริการสาธารณะมีลักษณะพิเศษที่อาจจะเป็นการกระทำฝ่ายเดียวหรืออาจอยู่ในรูปของสัญญาทางปกครอง  และการจัดทำบริการสาธารณะอาจก่อให้เกิดความรับผิดของฝ่ายปกครอง  ภายใต้กฎเกณฑ์พิเศษที่แตกต่างไปจากความรับผิดในทางแพ่ง  นอกจากนี้ บริการสาธารณะยังอยู่ภายใต้หลักการพิเศษบางประการซึ่งให้ความเป็นมาและพัฒนาการของระบบกฎหมาย บริการสาธารณะได้ดี  ได้แก่ หลักความต่อเนื่อง  หลักความเสมอภาค และหลักการปรับตัวของบริการสาธารณะ

กล่าวโดยทั่วไป  เนื้อหาและระบบกฎหมายพิเศษของบริการสาธารณะในช่วงแรกได้แสดงให้เห็นความมีอยู่ของ เอกสิทธิ์ของอำนาจมหาชน”(prérogatives de puissance publique)   เสมอ  เราอาจนิยาม เอกสิทธิ์ของอำนาจมหาชนนี้ว่าเป็นอำนาจที่บุคคลแต่ละคนไม่สามารถมีอยู่ตามธรรมชาติ  สำหรับโอรีอู บริการสาธารณะจะถูกพูดถึงได้ก็ต่อเมื่อเอกสิทธิ์บางประการของอำนาจรัฐหรือฝ่ายปกครองได้เกิดขึ้นหรือถูกใช้(โดยผู้จัดทำ)เกี่ยวกับบริการที่รับใช้ประโยชน์สาธารณะ[24]

ในทางปฏิบัติหลักกฎหมายตามแนวคำพิพากษาส่วนหนึ่งของสภาแห่งรัฐ(jurisprudence)ได้ใช้เกณฑ์
เอกสิทธิ์ของอำนาจรัฐหรือฝ่ายปกครองเป็นตัวกำหนดหรือพิจารณาว่ากิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งมีลักษณะของบริการสาธารณะหรือไม่[25]  กฎหมายปกครองตามหลักเกณฑ์นี้จึงเกิดขึ้นในระบบของกฎหมายที่มีอยู่ (l’ordonnancement juridique)  

2.        การเกิดขึ้นของแนวทางการใช้ทฤษฏีบริการสาธารณะ 

นักกฎหมายสำนักบอร์กโดซ์พยายามใช้ทฤษฎีบริการสาธารณะศึกษาวิเคราะห์หลักกฎหมายพื้นฐานในคำพิพากษาของสภาแห่งรัฐ(jurisprudence)  เพื่อที่จะทำให้ทฤษฎีดังกล่าวเป็นเนื้อหาและแนวทางการใช้หลักในระบบกฎหมายปกครองฝรั่งเศส  เนื้อหาและแนวทางการใช้นี้ แสดงออกใน 2 แนวทาง คือ แนวทางแรก บริการสาธารณะถูกมองว่าเป็นเกณฑ์ทั่วไปหนึ่งเดียวที่ใช้อธิบายกฎหมายปกครองที่มีอยู่ได้ทั้งหมดโดยตรง(critère général du droit administratif)  แนวทางที่สอง บริการสาธารณะเป็นข้อความคิดหลักที่ใช้เป็นฐานสร้างความสมบูรณ์ให้กับข้อความคิดอื่นๆ[26]  ดังนั้น บริการสาธารณะจึงเป็นเกณฑ์พิเศษ[27] ที่นำมาใช้กับข้อความคิดอื่นๆของกฎหมายปกครอง(critère particulier à certaines notions du droit administratif) เพื่อให้ความสมบูรณ์หรือให้ความชอบธรรมแก่การปรับใช้ข้อความคิดอื่นๆนั้น 

(1)     บริการสาธารณะในฐานะเกณฑ์ทั่วไปหนึ่งเดียวที่ใช้โดยตรงกับกฎหมายปกครอง 

ในช่วงระยะเริ่มต้นของการสร้างระบบกฎหมายปกครอง ปัญหาสำคัญที่นักกฎหมายหรือนักทฤษฏีทุกคนมุ่งค้นหาก็คือ  จะใช้สิ่งใดเป็นตัวกำหนดเพื่อแบ่งแยกลักษณะกฎหมายปกครองออกจากกฎหมายทั่วไป (แพ่งและอาญา) ซึ่งจะมีผลแยกเขตอำนาจของศาลปกครองออกจากเขตอำนาจของศาลยุติธรรมด้วย[28]

ในที่สุด  โดยการอ้างหลักการแบ่งแยกอำนาจทางปกครองออกจากอำนาจศาลยุติธรรมที่มีผลใช้บังคับตั้งแต่สมัยปฏิวัติฝรั่งเศส(loi des 16-24 สิงหาคม 1790 et 16 fructidor  an III) ผู้พิพากษาศาลคดีขัดกันได้ใช้การกระทำของฝ่ายปกครอง (ในความหมายนี้เป็นความหมายอย่างกว้างที่อาจเป็นทั้งการกระทำทางกฎหมายหรือการกระทำทางกายภาพของฝ่ายปกครอง)  ผ่านคำว่า บริการสาธารณะ เป็นตัวกำหนดลักษณะของกฎหมายปกครองและเขตอำนาจของศาลปกครอง

คำพิพากษาของศาลคดีขัดกัน  8 กุมภาพันธ์ 1873 เป็นคำพิพากษาแรกที่แสดงหลักการดังกล่าว  ในกรณีฟ้องฝ่ายปกครองให้รับผิด(action en responsabilité) เกี่ยวกับความเสียหายอันเนื่องมาจากรถ[29]ของโรงงานยาสูบแห่งเมืองบอร์กโดซ์ชนเด็กหญิง อันแยส บลองโก (Agnès BLANCO) ได้รับบาดเจ็บ   ศาลคดีขัดกันพิจารณาว่า ความรับผิดซึ่งจะเรียกร้องจากรัฐสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชน  โดยการกระทำของบุคลากรผู้จัดทำบริการสาธารณะ ไม่สามารถดำเนินการโดยอ้างฐานกฎหมายที่กำหนดนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในประมวลกฎหมายแพ่งได้  โดยนัยนี้  ศาล
คดีขัดกันได้อ้างคำว่า บริการสาธารณะ ซึ่งเป็นการกระทำของฝ่ายปกครองเป็นตัวกำหนดหรือบ่งชี้ถึงลักษณะของกฎหมายปกครอง(กฎหมายที่แยกเป็นเอกเทศออกจากกฎหมายแพ่ง l’autonomie du droit administratif) และเขตอำนาจของศาลปกครอง(ตามหลักเขตอำนาจที่ขึ้นอยู่กับเนื้อหาคดีที่แยกออกจากคดีแพ่งและคดีอาญา liaison de la compétence et du fond)

อย่างไรก็ตาม  มีข้อสังเกตว่าการอ้างคำว่า บริการสาธารณะ ที่เกิดขึ้น  ค่อนข้างเป็นเพียงถ้อยคำธรรมดามากกว่าถ้อยคำที่ให้หลักการทั่วไปทางกฎหมาย เนื่องจากจุดมุ่งหมายหลักของคดีต้องการเพียงใช้ความคิดเรื่องบริการสาธารณะเข้ามาแทนที่ความคิดเรื่อง รัฐที่เป็นลูกหนี้ (l’Etat débiteur) ซึ่งเดิมใช้เป็นเนื้อหาและขอบเขตของคดีที่อยู่ในอำนาจศาลปกครอง  เมื่อข้อพิพาทนั้นรัฐมีความรับผิดในฐานะเป็นลูกหนี้ตามนิติสัมพันธ์ทางแพ่ง ซึ่งเป็นข้อยกเว้นกรณีไม่อาจฟ้องรัฐเป็นคดีใดๆได้ เนื่องจากรัฐมีอำนาจอธิปไตย[30]

คำว่า บริการสาธารณะ ที่ได้จากคำพิพากษาคดีขัดกัน  Blanco ในเบื้องต้นจึงเป็น คำอ้าง เพื่อใช้แยกลักษณะของกฎหมายปกครองและเขตอำนาจของศาลปกครองในการรองรับกรอบทางกฎหมายความรับผิดของรัฐหรือฝ่ายปกครองที่กลายมาเป็นหลักในการปกครองของรัฐสมัยใหม่ฝรั่งเศส[31] และน่าจะถูกนำมาใช้พัฒนาเนื้อหาจนเป็นกฎเกณฑ์หลักของกฎหมายปกครอง(โดยเฉพาะหลักความรับผิดของรัฐและฝ่ายปกครอง (responsabilité administrative) ) เมื่อ 30 ปีให้หลังจากคดีดังกล่าว  จะเห็นได้จากการนำข้อความคิดของบริการสาธารณะมาใช้อ้างเขตอำนาจของศาลปกครองในเรื่องของความรับผิดทางสัญญาของเทศบาล (responsabilité contractuelle des communes)[32] ของการปกครองส่วนจังหวัด (responsabilité contractuelle des départements)[33]  และในเรื่องความรับผิดของฝ่ายปกครองนอกเหนือจากกรณีสัญญา (responsabilité extra-contractuelle)[34]

หลักกฎหมายใหม่นี้สรุปได้จากคำแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดีโฮมิเออ (Romieu) ในคดี Terrier ได้ว่า การจัดทำทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการจัดองค์กรและการดำเนินการในบริการสาธารณะ ไม่ว่าระดับชาติหรือท้องถิ่น  ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำโดยวิธีการทางสัญญาหรือโดยการใช้อำนาจฝ่ายเดียว  สิ่งเหล่านี้เป็นการดำเนินการที่มีลักษณะทางปกครอง... กล่าวอีกนัยหนึ่งเมื่อใดที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับกิจกรรมบริการสาธารณะ ผู้พิพากษาศาลปกครองจะเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาคดี

แจซได้สรุปและแสดงองค์ประกอบพื้นฐานของหลักกฎหมายที่ได้จากคำแถลงการณ์นี้ว่า กฎหมายมหาชนและกฎหมายปกครอง คือที่รวมของกฎเกณฑ์ต่างๆที่เกี่ยวกับการจัดทำบริการสาธารณะ  เมื่อพิจารณาถึงประเด็น
ข้อพิพาทที่เกิดขึ้น (
litige) จากบริการสาธารณะและหลักการที่ว่า  การพิจารณาเขตอำนาจศาลย่อมขึ้นอยู่กับเนื้อหาของคดี
(
la compétence suit le fond) จึงเป็นเหตุผลอยู่ในตัวที่คดีดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับศาลปกครอง  ดังนั้น บริการสาธารณะจึงเป็น(เนื้อหาและแนวทางการใช้ที่เป็น)องค์ประกอบพื้นฐานของกฎหมายปกครอง (le service public est la pierre angulaire du droit administratif) เป็นเกณฑ์ทั่วไปหนึ่งเดียวของกฎหมายปกครองที่ให้รายละเอียด 2 ด้าน คือ  ด้านแรก ให้คำอธิบาย เนื้อหา โดยรวมของกฎหมายปกครอง เนื่องจากการบริหารราชการหรือการปกครอง(l’administration)โดยใช้กฎหมายปกครอง ก็คือการจัดทำบริการสาธารณะซึ่งอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์พิเศษแตกต่างจากกฎหมายทั่วไป (กฎหมายทั่วไปในที่นี้หมายถึงกฎหมายแพ่ง)  ด้านที่สอง ให้คำอธิบาย แนวทางการใช้ กล่าวคือ เป็นการใช้ข้อความคิดบริการสาธารณะแบ่งแยกคดีและเขตอำนาจของศาลปกครองกับศาลยุติธรรมอย่างมีเหตุผล

สำหรับดูกีต์การที่ผู้พิพากษาศาลปกครองใช้หลักเรื่องบริการสาธารณะ ถือเป็นการสนับสนุนความคิดของตนเองที่ไม่ต้องการจะใช้หลักเรื่องอำนาจรัฐ (puissance publique) อธิบายลักษณะของกฎหมายปกครอง อีกทั้งยังช่วยวางเนื้อหาทางกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรมให้ทฤษฎีบริการสาธารณะมีผลบังคับจริงในสังคม

(2)   บริการสาธารณะในฐานะเกณฑ์พิเศษที่ใช้กับข้อความคิดอื่นๆในกฎหมายปกครอง 

                                ในขณะที่ทฤษฎีบริการสาธารณะได้รับการพัฒนาจนเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลาย ข้อความคิดอื่นในทางกฎหมายปกครองกลับอยู่ในช่วงระยะเริ่มต้นของการก่อตัวขึ้น  ดังนั้น ด้วยอิทธิพลและความคิดของนักกฎหมายสำนักบอร์กโดซ์ที่ครอบงำอยู่ในขณะนั้น บริการสาธารณะจึงถูกนำมาใช้ในฐานะ ที่มา และ กรอบ ของข้อความคิดอื่นๆ เป็นเกณฑ์พิเศษที่ใช้อธิบายหรือให้กำหนดเนื้อหาและแนวทางการใช้ข้อความคิดทุกประเภทในกฎหมายปกครอง เพื่อทำให้ข้อความคิดนั้นสมบูรณ์ชัดเจน

                                วิวัฒนาการนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและพัฒนาอย่างมาก ตั้งแต่ประมาณปี 1950 ถึงปัจจุบัน ข้อความคิดพื้นฐานอื่น ๆ ของกฎหมายปกครองได้ถูกจัดประเภทและให้คำนิยามโดยอ้างหรืออิงกับความคิดเรื่องบริการสาธารณะ[35]

                                บริการสาธารณะในฐานะเกณฑ์พิเศษที่ใช้กับข้อความคิดอื่นๆในกฎหมายปกครองอาจแบ่งออกได้ 3 ลักษณะ คือ บริการสาธารณะในฐานะที่กำหนดหลักเกณฑ์ในทางเนื้อหาและแนวทางการใช้เกี่ยวกับการกระทำทางปกครอง เกี่ยวกับเครื่องมือในการดำเนินงานทางปกครอง และเกี่ยวกับความรับผิดในทางปกครอง 

                                (2.1) บริการสาธารณะในฐานะที่กำหนดหลักเกณฑ์ในทางเนื้อหาและแนวทางการใช้เกี่ยวกับการกระทำทางปกครอง[36]      

                                บริการสาธารณะแสดงบทบาทประการแรกเกี่ยวกับคำจำกัดความของการกระทำฝ่ายเดียวทางปกครอง (l’acte administratif unilateral) ในระดับที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่าการกระทำดังกล่าวเกิดจากการกระทำของบุคคลทางกฎหมายมหาชนหรือบุคคลทางกฎหมายเอกชน

                                ก. หากเป็นการกระทำที่มีลักษณะทั่วไป มีผลไม่เฉพาะเจาะจงต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งจะถือว่าเป็นการกระทำในทางปกครอง[37] โดยอาศัยฐานความคิด หรือเกณฑ์ในแง่องค์กรของทฤษฎีบริการสาธารณะที่ผู้กระทำเป็นบุคคล
ทางกฎหมายมหาชนเป็นตัวตัดสิน ในทางตรงกันข้าม หากเป็นการกระทำที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แม้เป็นการกระทำของบุคคลทางกฎหมายมหาชนก็ตาม ก็ยังมีความจำเป็นจะต้องพิสูจน์ว่า การกระทำนั้นได้กระทำลงในกรอบหรือเป้าหมายของบริการสาธารณะด้วย การกระทำดังกล่าวจึงจะมีผลเป็นการกระทำฝ่ายเดียวที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจง ซึ่งก็คือยังต้องใช้ลักษณะทางเป้าหมายของการกระทำ(เกณฑ์ในแง่วัตถุประสงค์)ของทฤษฎีบริการสาธารณะเข้ามาช่วยเสริมเกณฑ์ในแง่องค์กร[38] ที่ใช้ตัดสิน

                                ข. หากเป็นการกระทำโดยเอกชนธรรมดา หลักกฎหมายปกครองจะยอมให้การกระทำดังกล่าวมีลักษณะเป็นการกระทำทางปกครองฝ่ายเดียวก็ต่อเมื่อ การกระทำนั้นมีลักษณะสองประการคือ ประการแรก เป็นการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำบริการสาธารณะทางปกครองอันใดอันหนึ่ง  ประการที่สอง ในการจัดทำบริการสาธารณะนั้น ได้แสดงหรือใช้เอกสิทธิ์ของอำนาจมหาชน[39] (การกระทำของเอกชนเป็นกรณีที่ไม่สามารถใช้เกณฑ์ตัดสินในแง่องค์กรของทฤษฎีบริการสาธารณะ(เนื่องจากเป็นการกระทำของบุคคลทางแพ่ง) ศาลปกครองจึงใช้เกณฑ์ในแง่วัตถุประสงค์ของทฤษฎีบริการสาธารณะคู่กับเกณฑ์ในเรื่องเอกสิทธิ์ของอำนาจมหาชน(จากแนวคิดของ École de Toulouse) : ศาลดูว่าการกระทำของเอกชนคนนั้นเป็นการจัดทำบริการสาธารณะที่มีเป้าหมายเกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะหรือไม่ และใช้เอกสิทธิ์หรือความมีอำนาจเหนือของฝ่ายปกครองในการจัดทำเพื่อบรรลุเป้าหมายที่เป็นกรอบของงานนั้นหรือไม่)

                                ในกรณีตรงกันข้าม หากการกระทำฝ่ายเดียวเกิดจากเอกชนที่มีหน้าที่จัดทำบริการสาธารณะในเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม การกระทำของเอกชนผู้นั้นไม่สามารถนำเกณฑ์ใด ๆ ตามทฤษฎีบริการสาธารณะมาตัดสินได้ กรณีจึงไม่ใช่การกระทำฝ่ายเดียวในทางปกครอง อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่เกี่ยวกับระเบียบหรือข้อบังคับในการจัดองค์กร (l’organisation) และการดำเนินการ (le fonctionnement) ของบริการสาธารณะนั้น ยังคงมีลักษณะทางปกครองอยู่หากเป็นกรณีที่ผู้จัดทำบริการเป็นบริษัทเอกชนที่ถูกตั้งขึ้นโดยกฎและคำสั่งของฝ่ายปกครองผ่านความเห็นชอบของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง สถานะของบริษัทเอกชนนี้แม้จะเป็นนิติบุคคลในทางกฎหมายเอกชนเกี่ยวกับการจัดทำบริการสาธารณะ แต่ก็
ถูกกำกับดูแลในเรื่องการจัดองค์กร และกฎเกณฑ์การดำเนินงานทั่วไป ดังนั้น การที่บริษัทออกกฎเกณฑ์หรือระเบียบเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวจึงถือเป็นการกระทำที่มีลักษณะทั่วไปไม่เฉพาะเจาะจง
(acte réglementaire)[40] ที่ทำแทนฝ่ายปกครองและสอดคล้องกับสถานะทางกฎหมายที่ฝ่ายปกครองมอบให้ (ซึ่งก็คือการนำเกณฑ์ในแง่องค์กรของทฤษฎีบริการสาธารณะมาปรับใช้) หากมีข้อพิพาทเกิดขึ้น ข้อพิพาทดังกล่าวเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการกระทำทางปกครองที่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง

                                ค. เคียงคู่กับหลักการกระทำฝ่ายเดียวทางปกครอง บริการสาธารณะเป็นหนึ่งในเกณฑ์การให้คำจำกัดความ สัญญาทางปกครอง(contrat administratif) ด้วยเหตุนี้สัญญาที่ตกลงกันระหว่างบุคคลทางกฎหมายมหาชนกับบุคคลทางกฎหมายเอกชนจะเป็นสัญญาทางปกครองต่อเมื่อมีวัตถุประสงค์ที่จะบังคับการให้คู่สัญญาจัดทำบริการสาธารณะโดยตรง[41] (เกณฑ์ในแง่องค์กรไม่สามารถใช้พิจารณาโดยลำพัง จึงต้องใช้เกณฑ์ในแง่วัตถุประสงค์มาประกอบการพิจารณาด้วย) เกณฑ์ในแง่วัตถุประสงค์ของทฤษฎีบริการสาธารณะนี้ใช้กับกรณีสัญญามอบหมายให้จัดทำบริการสาธารณะ( contrat de délégation du service public) เช่นกัน แต่หลักกฎหมายนี้ก็สร้างปัญหาและความยากลำบากในการแบ่งแยกสัญญาทางปกครองออกจากสัญญาทางแพ่ง[42]

                                 (2.2) บริการสาธารณะในฐานะที่กำหนดหลักเกณฑ์ในทางเนื้อหาและแนวทางการใช้เกี่ยวกับเครื่องมือในการดำเนินงานทางปกครอง

                                 เครื่องมือในการดำเนินงานทางปกครองก็คือ ระบบบุคลากรและระบบพัสดุซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคคลและทรัพย์สินของทางราชการ

                                ก. สถานะของบุคคลที่จัดทำบริการสาธารณะ ศาลคดีขัดกันได้ตัดสินเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า บุคลากรทุกคนของบริการสาธารณะทางปกครองหนึ่ง ๆมีสถานะเป็นฝ่ายปกครองไม่ว่าบุคลากรนั้นจะได้ดำเนินการในงานนั้นหรือไม่[43]
คำพิพากษานี้ได้พิพากษากลับหลักเดิมของสภาแห่งรัฐที่ยอมรับแต่เพียงว่าบุคคลที่จะเป็นฝ่ายปกครองหรือถือเสมือนเป็นฝ่ายปกครองในการจัดทำบริการสาธารณะใด ๆ ก็ตาม จะต้องเป็นบุคคลที่เข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรง ในการบังคับการหรือในการดำเนินงานของบริการสาธารณะนั้นเท่านั้น[44] ในทางปฏิบัติคำพิพากษาของศาลคดีขัดกันนี้ก่อให้เกิดความยากลำบากและ
ข้อถกเถียงในการวินิจฉัยคดีแบ่งแยกงานระดับสูงในเนื้อหาของบริการสาธารณะที่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายมหาชนกับงานในระดับที่ต่ำกว่าหรือที่ผูกติดอยู่กับหน้าที่ลำดับรองซึ่งอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายเอกชน (เพราะถือว่าไม่ใช่งานบริการสาธารณะโดยตรง) ในทางตรงกันข้าม บริการสาธารณะในทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมจะได้รับบทสันนิษฐานเบื้องต้นว่าบุคคลที่ถูกใช้ในงานเป็นบุคลากรที่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายเอกชนมิได้เป็นบุคลากรของรัฐยกเว้นผู้อำนวยการและสมุห์บัญชี[45]

                                ข. สถานะของทรัพย์สินที่ใช้จัดทำบริการสาธารณะ ทรัพย์สินซึ่งอยู่ภายใต้ระบบกฎหมายสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน(Domanialité publique) และทรัพย์สินที่เป็นของบุคคลทางกฎหมายมหาชนสามารถนำมาใช้กับการจัดทำบริการสาธารณะ  การปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินดังกล่าวทำได้ต่อเมื่อมีบทบัญญัติกฎหมายให้อำนาจไว้[46]

                                เช่นเดียวกันบริการสาธารณะสามารถที่จะกำหนดแนวทางการใช้เกี่ยวกับงานสาธารณะ(Ouvrage public) เพื่อนิยามลักษณะของงานดังกล่าว ดังนั้น งานสาธารณะจึงเป็นได้ทั้งงานก่อสร้างตึก ที่ทำงาน การใช้ที่ดิน หรืองานอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับหรือมีลักษณะเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ หรือสิทธิในทางอสังหาริมทรัพย์ที่บุคคลทางกฎหมายมหาชนกำหนดหรือจัดทำให้เกิดขึ้นในกรอบวัตถุประสงค์ของบริการสาธารณะ และรวมถึงงานบริการเกี่ยวกับการเงินการบัญชีของภาคเอกชนด้วย[47]

                                 (2.3) บริการสาธารณะในฐานะที่กำหนดหลักเกณฑ์ในทางเนื้อหาหรือแนวทางการใช้เกี่ยวกับความรับผิดทางปกครอง

                                 หลักการในเรื่องนี้ตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า เมื่อมีการจัดทำบริการสาธารณะโดยบุคคลทางกฎหมายมหาชน(รัฐหรือฝ่ายปกครอง)ไม่ว่าจะกำหนดตัวเจ้าหน้าที่ผู้กระทำความผิดได้หรือไม่ก็ตาม ความรับผิดทางปกครองของบุคคลดังกล่าวจะมีผลผูกพันก็ต่อเมื่อ มีความผิดที่เกิดจากการจัดทำบริการสาธารณะ (faute de service) หรือในกรณี ความผิดที่เกิดขึ้นนอกบริการสาธารณะแต่ถือว่ายังไม่ขาดจากการจัดทำบริการสาธารณะ (faute non dénuée de tout lien avec le service)[48]

                                สมมุติฐานความรับผิดทางปกครองประการต่อมามีลักษณะเฉพาะมากขึ้น กล่าวคือ สามารถที่จะถูกยกขึ้นกล่าวอ้างเมื่อมีการจัดทำบริการสาธารณะโดยบุคคลทางกฎหมายเอกชน (กำหนดตัวผู้ดำเนินการได้) ตามคำขอของฝ่ายปกครอง ได้แก่ กรณีที่ความเสียหายเกิดจากการกระทำของบุคคลที่เข้าจัดทำบริการสาธารณะแทนฝ่ายปกครองเนื่องจากมีหน้าที่ตามกฎหมายโดยฝ่ายปกครองร้องขอ (Collaborateur occasionnel) หรือความเสียหายเกิดจากกรณีที่บุคคลซึ่งไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายในการจัดทำบริการสาธารณะแต่สมัครใจเข้าจัดทำ(Collaborateur bénévole) ตามคำขอของฝ่ายปกครอง ฝ่ายปกครองจะมีความรับผิดกับประชาชนบุคคลที่สามหากความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการจัดทำบริการสาธารณะ

                                การพิจารณาในประเด็นนี้จะมีความละเอียดมากขึ้นหากข้อเท็จจริงเปลี่ยนไปว่า การดำเนินงานแทนฝ่ายปกครองของบุคคลดังกล่าวไม่ได้เป็นสิ่งที่กฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่หรือไม่ได้รับการร้องขอจากฝ่ายปกครอง แต่เป็นเรื่องที่เกิดจากความจำเป็นตามสถานการณ์หรือเกิดขึ้นเองโดยสมัครใจ ในกรณีนี้ศาลยอมรับว่ารัฐหรือฝ่ายปกครองมีความรับผิดได้หากมีความเสียหายเกิดขึ้น เพราะถือว่าเป็นการจัดทำบริการสาธารณะแทนรัฐหรือฝ่ายปกครองเช่นกัน  ตัวอย่างของกรณีฉุกเฉิน เช่น บุคคลที่เข้าช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุโดยไม่ได้รับคำขอหรือไม่ได้รับการยอมรับจากฝ่ายปกครอง[49]  ส่วนในเรื่องของการเข้าช่วยเหลือโดยสมัครใจ หากไม่มีคำขอของฝ่ายปกครองก็จะต้องปรากฏพฤติการณ์ว่าฝ่ายปกครองที่มีหน้าที่ดังกล่าวได้ยอมรับการกระทำแทนนั้น ความรับผิดจึงจะผูกผันรัฐหรือฝ่ายปกครอง[50]

                                สมมุติฐานความรับผิดประการสุดท้าย กรณีเอกชนธรรมดาที่ไม่มีหน้าที่ ไม่มีความเกี่ยวพันใดๆ กับบริการสาธารณะ (ทั้งในแง่ภาระหน้าที่ตามกฎหมายหรือความสมัครใจตามคำร้องขอ หรือในแง่ของสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือมีพฤติการณ์ที่ฝ่ายปกครองยอมรับ) ได้เข้าจัดทำบริการสาธารณะนั้น แนวคำพิพากษาของสภาแห่งรัฐถือว่า บุคคลดังกล่าวไม่ได้อยู่ในฐานะผู้จัดทำบริการสาธารณะ[51] และศาลยุติธรรมจะเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาความรับผิดที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามศาลปกครองจะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาความรับผิดของเอกชนดังกล่าวนี้ในสองกรณี คือ

                                กรณีแรก เป็นเรื่องความรับผิดของฝ่ายปกครองอันเนื่องมาจากเอกชนที่ร่วมลงทุนไว้ในบริการสาธารณะหนึ่ง ๆ ได้ก่อให้เกิดความเสียหายจากการใช้เอกสิทธิ์ของอำนาจมหาชนที่ได้รับมอบหมายมาในการจัดทำหรือบังคับการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของบริการสาธารณะนั้น[52]

                                กรณีที่สอง เป็นเรื่องความรับผิดของเอกชนในความเสียหายที่เกิดจากงานสาธารณะ ศาลปกครองถูกกำหนดให้พิจารณาเรื่องนี้เพราะงานสาธารณะที่เอกชนเข้าจัดทำนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการจัดทำบริการสาธารณะ

                                กล่าวโดยสรุป บริการสาธารณะเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลอย่างสูงในการให้ความหมาย หลักเกณฑ์ทางเนื้อหา และแนวทางการใช้ของข้อความคิดทุกประเภทในกฎหมายปกครอง  เนื้อหาและแนวทางการใช้นี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดระบบกฎหมายบริการสาธารณะ 

3.     การเกิดขึ้นของระบบกฎหมายบริการสาธารณะ 

                                หลักเกณฑ์ทางเนื้อหาและแนวทางการใช้ของบริการสาธารณะได้แสดงให้เห็นถึงกรอบของข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายซึ่งเอื้ออำนวยให้นักทฤษฎีนำมาสังเคราะห์ค้นหากฎเกณฑ์ร่วมที่จะนำไปสู่ระบบกฎหมายทั่วไปของบริการสาธารณะ  ในที่สุด ในปี 1930 หลุยส์ โฮล์ลอง(Louis ROLLAND) ได้ศึกษาและสกัดหลักกฎหมายพื้นฐานของบริการสาธารณะทุกประเภทขึ้นมาจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในนามของหลักกฎหมายบริการสาธารณะ(lois du service public)

                                อย่างไรก็ตามเคียงคู่กับหลักกฎหมายพื้นฐานของบริการสาธารณะดังกล่าวยังคงมีกฎเกณฑ์สำคัญอื่นๆที่แม้จะไม่ได้ใช้กับบริการสาธารณะทุกประเภทแต่มีลักษณะเฉพาะและใช้กับบริการสาธารณะจำนวนไม่น้อยเช่นกัน 

(1)   ระบบกฎหมายทั่วไปที่ใช้กับบริการสาธารณะทุกประเภท  

                                ปัจจุบันนี้หลักกฎหมายเรื่องบริการสาธารณะได้อิงแนวความคิดของ โฮล์ลอง หรือที่นิยมเรียกกันว่า หลักการของโฮล์ลอง (lois de ROLLAND) ในการกำหนดเนื้อหาและขอบเขตของกฎหมายบริการสาธารณะ โดยตัวของหลักกฎหมายเองมีความหลากหลายบางประการอยู่บ้างเกี่ยวกับชื่อที่ใช้เรียกหรือเนื้อหา  แต่อย่างไรก็ตาม บริการสาธารณะจะประกอบไปด้วยหลักกฎหมายสามหลัก คือ หลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะ หลักความเสมอภาคต่อหน้าบริการสาธารณะ และหลักการปรับตัวของบริการสาธารณะ 

                                (1.1) หลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะ(La continuité) 

                                หลักการนี้ถือว่าเป็นหลักการที่สำคัญที่สุดที่แสดงถึงลักษณะของบริการสาธารณะเองดังคำกล่าวของตุลาการผู้แถลงคดีตาร์คดิเออ(Tardieu) ว่า เป็นหลักการที่เป็นแก่นหรือสาระสำคัญที่สุดในตัวของบริการสาธารณะเอง (de l’essence même du service)[53]  หลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะนี้วางอยู่บนความคิดที่ว่าการบริการเป็นสิ่งที่เป็นหลักประกันความต้องการของประชาชนในสังคม ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องจัดทำบริการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง มิใช่เป็นครั้งคราวหรือขัดขวางความต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อสนองตอบความต้องการของประชาชนที่มีอยู่ตลอดเวลา  ภาพของโรงพยาบาลที่ไม่ยอมรับผู้ป่วยในกรณีฉุกเฉิน เรือนจำที่ไม่มีผู้คุม หรืออากาศยานที่ไม่มีสถานีคอยกำกับทิศทาง คงแสดงถึงเหตุผลความจำเป็นของหลักการนี้ได้ดี โดยนัยนี้หลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะจึงเป็นหลักกฎหมายที่มีขึ้นเพื่อแก้ไขการดำเนินงานที่บกพร่อง (dysfonctionnement) ถือเป็นหลักกฎหมายทั่วไป (principe général du droit) ตามนัยคำพิพากษาของสภาแห่งรัฐ[54] และต่อมาได้ถูกยอมรับว่าเป็นหลักการพื้นฐาน(principe fondamental)[55]

                                สำหรับตุลาการรัฐธรรมนูญ หลักการนี้ถูกสถาปนาขึ้นให้เป็นหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ[56] แม้จะมีปัญหาในทางรูปแบบที่จะรวมหลักการนี้ไว้ในตัวบทรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ ความมีศักดิ์กฎหมายทางรัฐธรรมนูญของหลักการนี้ได้ถูกขยายขอบเขตการใช้จนเกิดหลักกฎหมายเรื่องความต่อเนื่องของรัฐหรือชีวิตของชาติ((principe général de continuité de l’Etat ou de la vie nationale)

                                ตุลาการผู้แถลงคดีกาซิเอ(Gazier)วิจารณ์หลักกฎหมายดังกล่าวในคำแถลงการณ์ต่อสภาแห่งรัฐว่า หลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะได้ย้อยกลับมาทำให้ความชัดเจนของข้อความคิดเกี่ยวกับรัฐลดน้อยลง(la continuité du service public reviendrait à consacrer la notion d’Etat à éclipses)  อย่างไรก็ดี หลักความต่อเนื่องของรัฐหรือชีวิตของชาตินี้ได้ให้ผลทางกฎหมายหลายประการ[57]

                 ประการแรก ผลทางกฎหมายเกี่ยวกับผู้ใช้บริการ(l’usager)ของบริการสาธารณะ  หลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะก่อให้เกิดภาระหน้าที่ที่จะต้องกำหนดอัตราค่าบริการของบริการสาธารณะ การปฏิเสธที่จะจัดให้มีอัตราค่าบริการดังกล่าวเป็นเหตุให้มีการฟ้องต่อศาลปกครองได้ว่าเป็นการจัดทำบริการสาธารณะที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย[58] และในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดความรับผิดต่อผู้ที่มีหน้าที่จัดทำบริการสาธารณะหากผู้นั้นไม่สามารถอ้างถึงเหตุผลอื่นที่จำเป็น[59]

                ในกรณีที่ไม่มีตัวบทกฎหมายกำหนดรายละเอียดของค่าธรรมเนียมหรือบริการสาธารณะไว้ ตุลาการศาลปกครองจะพิจารณาเป็นรายกรณีไปเพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้บริการได้ในราคาที่เหมาะสมโดยทั่วไป[60]

                บริการสาธารณะแต่ละประเภทจะมีระดับความต่อเนื่องแตกต่างกันขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และลักษณะของบริการสาธารณะนั้น ๆ ว่ามีความสำคัญมากน้อยกับสังคมเพียงใด

                ประการที่สอง ผลทางกฎหมายเกี่ยวกับคู่สัญญา(cocontractant)ในสัญญาสัมปทาน  หลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะเรียกร้องให้ผู้รับสัมปทานต้องจัดทำบริการสาธารณะให้เกิดขึ้นจริงอย่างสม่ำเสมอ ยกเว้นกรณีเกิดเหตุสุดวิสัย หรือมีการกระทำใด ๆ ของฝ่ายปกครองที่ทำให้ไม่สามารถจัดทำบริการสาธารณะดังกล่าวได้  ในกรณีที่มีเหตุการณ์ไม่อาจคาดหมายเกิดขึ้น(อุปสรรคที่คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่อาจคาดหมายได้) (Imprévision)[61]  ทำให้ผู้รับสัมปทานดำเนินการตามที่กำหนดไว้ในสัญญาได้ยากหรือแทบจะไม่สามารถดำเนินการได้เลยนอกจากจะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมากหรือจะต้องขาดทุนล้มละลาย คู่สัญญาฝ่ายปกครองจะต้องให้ค่าชดเชยสนับสนุนผู้รับสัมปทานให้มีดุลยภาพทางการเงินเพื่อจัดทำบริการดังกล่าวได้อย่างต่อเนื่องต่อไปตามหลักการนี้[62]

                ประการสุดท้าย ผลทางกฎหมายเกี่ยวกับฝ่ายปกครองผู้จัดทำบริการสาธารณะ(les agents des services publics)ในกรณีที่มีการประท้วงนัดหยุดงาน(grève) กล่าวคือ เดิมก่อนปี 1946 หลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะมีผลห้ามมิให้ฝ่ายปกครองประท้วงนัดหยุดงาน[63]  ต่อมาเมื่อมีการบังคับใช้รัฐธรรมนูญปี 1946 กำหนดให้สิทธิการประท้วง
นัดหยุดงานเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน สภาแห่งรัฐได้ยอมรับให้ฝ่ายปกครองผู้จัดทำบริการสาธารณะมีสิทธิประท้วงนัดหยุดงานตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้และจะจำกัดสิทธิดังกล่าวเมื่อมีการใช้ผิดวัตถุประสงค์หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย[64]

                ตุลาการรัฐธรรมนูญได้ยืนยันสิทธิขั้นพื้นฐานดังกล่าวว่า  เป็นเรื่องที่จะต้องประสานกันระหว่างการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ในหน้าที่การงานและอาชีพกับการรักษาประโยชน์สาธารณะที่ถูกกระทบจากการนัดหยุดงานเพื่อประโยชน์ในอาชีพดังกล่าว[65] หลักกฎหมายของตุลาการรัฐธรรมนูญนี้ได้ให้ความชอบธรรมแก่ฝ่ายนิติบัญญัติในการใช้หลักกฎหมายที่มีศักดิ์ทางรัฐธรรมนูญจำกัดขอบเขตหลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะที่มีศักดิ์ทางรัฐธรรมนูญเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ฝ่ายนิติบัญญัติได้กำหนดหน้าที่ให้ผู้ประท้วงจะต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 5 วันก่อนการประท้วง และห้ามประท้วงหยุดงานที่จะมีผลให้หยุดระบบการบริการนั้นทั้งหมด[66] กำหนดให้มีบริการสาธารณะขั้นต่ำเสมอสำหรับ (1)บริการสาธารณะที่เกี่ยวกับโรงพยาบาลในขณะที่มีการประท้วงนัดหยุดงาน[67] (2)บริการสาธารณะเกี่ยวกับการควบคุมและการจัดการจราจรทางอากาศ[68] และ(3)บริการสาธารณะเกี่ยวกับการวิทยุโทรทัศน์[69] หรือแม้แต่ห้ามมิให้ข้าราชการหรือฝ่ายปกครองที่จัดทำบริการบางประเภทนัดหยุดงานเลย เช่น ทหาร ตำรวจ ผู้พิพากษา ฝ่ายปกครองที่จัดทำบริการสาธารณะเกี่ยวกับทัณฑสถาน ยกเว้นงานบริหารงานราชทัณฑ์ และฝ่ายปกครองที่จัดทำบริการสาธารณะเกี่ยวกับงานควบคุมและป้องกันในเรื่องนิวเคลียร์  ภายใต้หลักการเดียวกันนี้ สภาแห่งรัฐได้ยอมรับความมีอยู่ของบริการสาธารณะขั้นต่ำแต่จะต้องได้รับการจำกัดความอย่างชัดเจนและไม่ใช่เป็นการจัดทำบริการเหมือนในกรณีปกติ[70] ยอมรับความเป็นไปได้ที่ฝ่ายปกครองจะห้ามหยุดงานของท้องถิ่นเพื่อจัดให้มีบริการสาธารณะขั้นต่ำในความจริง[71] หรือยอมรับทางเลือกของรัฐบาลในการสั่งบุคคลอื่นเข้าทำงานแทนผู้ประท้วงในกรณีที่มีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความต่อเนื่องของบริการสาธารณะ[72] หรือการห้ามประท้วงนัดหยุดงานการเมือง[73] แม้ว่าในทางปฏิบัติยากที่จะแยกการประท้วงดังกล่าวออกจากการประท้วงทั่วไป (เพราะนักการเมืองก็เป็นการงานหรืออาชีพที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของสิทธิในการประท้วงนัดหยุดงาน)

                ในทางตรงกันข้ามสภาแห่งรัฐไม่ยอมรับการใช้สิทธินัดหยุดงานประท้วงของบริษัทที่เข้าจัดทำบริการสาธารณะทางปกครองเป็นการชั่วคราวแทนฝ่ายปกครองที่ประท้วง เนื่องจากผู้ได้รับเงินเดือนของบริษัทไม่ได้มีฐานะเป็น
ฝ่ายปกครอง(ที่จะมีสิทธิดังกล่าว)[74]

                แนวคำพิพากษาของตุลาการรัฐธรรมนูญยอมรับว่าการประท้วงนัดหยุดงานไม่ก่อให้เกิดโทษทางอาญาเกี่ยวกับการเงิน  อย่างไรก็ตามการห้ามลงโทษทางอาญานี้ไม่ได้เป็นข้ออ้างไม่ให้ถูกหักเงินอย่างน้อย 1 ใน 30 ของเงินเดือน แม้การนัดหยุดงานประท้วงนั้น จะใช้เวลาน้อยกว่า 1 วันก็ตาม[75] ทั้งนี้ตามกฎหมายบัญชีบริการสาธารณะ(la règle du 30e indivisible)

                มีข้อควรสังเกตด้วยว่า การพิจารณาพิพากษาหรือปรับใช้หลักเรื่อง การนัดหยุดงานนอกวัตถุประสงค์หรือหลักการประสานที่ดีระหว่างสิทธิในการประท้วงนัดหยุดงานกับหลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะไม่ว่าจะเป็นของตุลาการรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองยังมีลักษณะทางอัตวิสัย ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้พิพากษา และยังเป็นเรื่องละเอียดอ่อนยากที่จะหาแนวทางในการตัดสิน

                หากพิจารณาความเป็นจริงในทางปฏิบัติ  หัวหน้างานบริการสาธารณะจะเป็นผู้ที่กลับมาจัดทำบริการดังกล่าว[76] เมื่อมีการใช้สิทธิประท้วงนัดหยุดงาน อำนาจในการออกกฎเกณฑ์ของหัวหน้างานบริการจึงน่าจะเป็นที่ยอมรับและดูมีเหตุผลกว่าเหตุผลที่ตุลาการรัฐธรรมนูญอ้างถึงอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติที่จะกำหนดข้อจำกัดของการใช้สิทธิการประท้วงนัดหยุดงานตามวรรคที่เจ็ด ของคำปรารภรัฐธรรมนูญปี 1946  สำหรับหลักกฎหมายตามแนวคำพิพากษาของสภาแห่งรัฐในเรื่องนี้อาจจะยังไม่ขัดแย้งโดยตรงกับแนวคำพิพากษาของตุลาการรัฐธรรมนูญเนื่องจาก ตุลาการศาลปกครองเน้นความชัดเจนแต่เพียงว่า กรณีดังกล่าวเป็นเพียงกรณีที่ไม่มีกฎหมายกำหนดไว้ซึ่งหัวหน้างานบริการนั้นนั่นเองที่มีอำนาจในการกำหนดขอบเขตและปรับใช้สิทธิในการประท้วงนัดหยุดงาน หลักกฎหมายนี้จึงควรที่จะได้รับการยึดถือ เพราะว่าในทางปฏิบัติหัวหน้างานบริการดังกล่าวเป็นผู้ที่อยู่ในฐานะที่เหมาะสมและพร้อมที่จะพิจารณาปรับใช้เนื้อหาของข้อเรียกร้องในการประท้วงกับหลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะ

 

                (1.2) หลักความเสมอภาคต่อหน้าบริการสาธารณะ(L’égalité)

 

                                ความเสมอภาคต่อหน้าบริการสาธารณะนี้เกิดขึ้นก่อนหลักการอื่นๆเนื่องจากเป็นหลักการทั่วไปที่มาจากประกาศสิทธิมนุษยชนปี 1789 เรื่องหลักความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย[77]

                                สภาแห่งรัฐได้ให้ความหมายเกี่ยวกับหลักความเสมอภาคต่อหน้าบริการสาธารณะไว้ว่า เป็นหลักความเสมอภาคที่ใช้เกี่ยวกับการดำเนินงานของบริการสาธารณะทั้งหลาย(principe d’égalité qui régit le fonctionnement des services publics) ในฐานะหลักกฎหมายทั่วไป[78]

                                ในส่วนของตุลาการรัฐธรรมนูญได้แสดงนัยรับรองหลักการดังกล่าวนี้ว่า มีศักดิ์ทางกฎหมายเทียบเท่ากฎหมายรัฐธรรมนูญแม้ว่าจะยังไม่มีคำพิพากษาที่ยืนยันโดยตรง

                                ความคิดดั้งเดิมของความเสมอภาคต่อหน้าบริการสาธารณะในกฎหมายฝรั่งเศสเป็นหลักการที่ตั้งอยู่บนความคิดเรื่องความเสมอภาคในทางรูปแบบ(égalité formelle)[79] หลักการนี้ไม่ใช้ความเหมือน(préférence)เป็นตัวกำหนดพื้นฐานแต่ใช้ความแตกต่าง(différence) กล่าวคือ วางหลักสิ่งที่แตกต่างกันโดยทั่วไปบนเกณฑ์ภาวะวิสัย(กฎเกณฑ์)อันหนึ่ง  ด้วยแนวความคิดเรื่องความเสมอภาคในแง่นี้หลักกฎหมายปกครองและรัฐธรรมนูญได้เกิดขึ้นอย่างมากมายโดยเฉพาะในเรื่องของบริการสาธารณะดังนี้

                                ประการแรก ฝ่ายปกครองทุกคนสามารถอ้างหลักความเสมอภาคที่จะได้รับการยอมรับเข้าทำงานของรัฐ ซึ่งหมายความว่า จะไม่มีการเลือกปฏิบัติหรือใช้เส้นสายอื่น ๆ เพื่อเข้าจัดทำการบริการสาธารณะหนึ่ง ๆ(รับราชการ) เว้นแต่การใช้เกณฑ์คุณสมบัติ(qualité)ของฝ่ายปกครองเป็นตัวตัดสินเท่านั้น  ดังนั้น การเลือกฝ่ายปกครองเข้าจัดทำบริการสาธารณะโดยใช้เกณฑ์อื่นๆ เช่น เกณฑ์ความเชื่อในทางการเมืองมาตัดสินจึงขัดต่อหลักการนี้[80] นอกจากนี้ ยังมีความเสมอภาคระหว่างฝ่ายปกครองด้วยกันเองในองค์กร ซึ่งอาจมองในแง่ความเสมอภาคที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันของสมาชิกข้าราชการที่สังกัดองค์กรหรือส่วนราชการเดียวกัน อย่างไรก็ดี หลักการนี้มีข้อยกเว้นในกรณีมีการเลือกปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายเกี่ยวกับสถานะของฝ่ายปกครอง เช่น ฝ่ายปกครองได้ผ่านเงื่อนไขพิเศษเพื่อเข้าทำงานในองค์กรดังกล่าว อาจจะเป็นการสอบแข่งขันภายในหรือการสอบแข่งขันทั่วไป (concours interne ou externe)

                                ประการที่สองในเรื่องของระเบียบพัสดุ ผู้ที่จะเป็นผู้จัดซื้อพัสดุให้แก่ทางราชการจะได้รับความคุ้มครองตามหลักความเสมอในการจัดทำบริการสาธารณะ กล่าวคือ จะได้รับโอกาสที่เท่าเทียมกันในการแข่งขันเสนอราคา (concurrence) เพื่อให้ได้รับเลือกเป็นคู่สัญญากับฝ่ายปกครอง (cocontractant de l’administration)

                                ประการที่สาม ในเรื่องสถานะภาพของผู้ใช้บริการสาธารณะ(situation des usagers du service) สภาแห่งรัฐได้สร้างหลักเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติที่ยอมรับได้(discriminations acceptables) ว่า การกำหนดอัตราค่าบริการหรือค่าโดยสารที่แตกต่างกันสามารถบังคับใช้ได้กับบริการสาธารณะเดียวกันที่มีความหลากหลาย(ในประเภท)ของผู้ใช้บริการ งานบริการหรืองานสาธารณะที่เกี่ยวข้อง ถ้าการกำหนดอัตรานั้นเกิดขึ้นจากความจำเป็นตามกฎหมาย หรือเกิดจากความแตกต่างของสถานการณ์ที่สามารถพิจารณาได้ระหว่างผู้ใช้บริการทั้งหลาย หรือมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะเกี่ยวกับเงื่อนไขต่าง ๆ ของการแสวงหาประโยชน์หรือวิธีการจัดทำของบริการหรืองานสาธารณะ[81] หลักกฎหมายนี้ให้องค์ประกอบพื้นฐานสามประการที่จะต้องคำนึงถึงในการพิจารณาการเลือกปฏิบัติที่มีผลใช้บังคับได้ กล่าวคือ

                                องค์ประกอบแรก การเลือกปฏิบัติที่เกิดจากฝ่ายปกครองจะต้องเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นตามกฎหมาย ศาลจะไม่พิพากษาการกระทำของฝ่ายปกครองในกรณีนี้ว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ[82]

                                องค์ประกอบที่สอง การเลือกปฏิบัติจะต้องวางอยู่บนพื้นฐานความแตกต่างของฐานะหรือสถานะของผู้ใช้ หรือสถานการณ์ที่สามารถจะพิจารณาได้ โดยมีความสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ของบริการ ศาลปกครองจะพิจารณาฐานะหรือสถานการณ์พิเศษตามความเป็นจริงที่ให้ความชอบธรรมและความมีอยู่ของความแตกต่างเป็นรายกรณีไปซึ่งก็เป็นขอบเขตที่ศาลมีอำนาจใช้ดุลยพินิจ เช่น การเลือกปฏิบัติที่ถือว่าชอบธรรมเกี่ยวกับการกำหนดอัตราค่าบริการหรือค่าโดยสารของประชาชนในประเทศระหว่างผู้อาศัยบนภูมิประเทศที่มีลักษณะเป็นเกาะกับผู้อาศัยบนภูมิประเทศที่อยู่บนพื้นผิวทวีปซึ่งต่างก็เป็นผู้ใช้สะพาน l’île de Ré ในทางตรงกันข้ามการคิดอัตราค่าบริการหรือค่าโดยสารที่แตกต่างกันระหว่างผู้อาศัยที่ Charente-Maritime (จังหวัดที่ติดทะเลด้านตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส มีลักษณะภูมิประเทศบางส่วนเป็นเกาะ) กับ
ผู้อาศัยในภาคพื้นทวีป ไม่สามารถทำได้[83]

                                องค์ประกอบที่สาม ประโยชน์สาธารณะโดยตัวของมันเองเป็นเพียงเหตุผลทางอ้อมที่ให้ความชอบธรรมในการเลือกปฏิบัติและยกเว้นหลักความเสมอภาค กล่าวคือ ในกรณีที่ไม่สามารถพิจารณาความแตกต่างของฐานะหรือสถานะของผู้ใช้ได้ เหตุผลเกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะก็จะถูกนำมาใช้ นอกจากนี้มีข้อพึงสังเกตว่าศาลปกครองมักจะยอมรับความหลากหลายของอัตราค่าบริการและการกำหนดค่าบริการพิเศษของบริการสาธารณะบางประเภทที่ส่วนท้องถิ่นดำเนินการ  โดยเฉพาะบริการของเทศบาลที่เกี่ยวกับสวัสดิการสังคม(โรงอาหาร สถานศึกษา หรือสถานรับเลี้ยงเด็กอ่อน) หรือสวัสดิการทางการศึกษา ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ โรงเรียนสอนดนตรี

                                สภาแห่งรัฐยอมรับให้มีการกำหนดอัตราค่าบริการพิเศษของผู้ใช้บริการได้หากผู้ใช้บริการนั้นอาศัยอยู่ในองค์กรท้องถิ่นที่จัดทำบริการสาธารณะนั้นอยู่[84]  ต่อมาแนวคำพิพากษาได้ขยายกว้างขึ้นโดยอาศัยเกณฑ์การใช้กิจกรรม กล่าวคือ ยอมรับให้กำหนดอัตราค่าบริการพิเศษของผู้ใช้บริการได้หากผู้นั้นใช้บริการขององค์กรท้องถิ่น (เช่น ในเรื่องเกี่ยวกับอาชีพหรือการให้การศึกษาแก่เด็ก)บนพื้นที่ขององค์กรท้องถิ่นนั้น[85]  

เช่นเดียวกัน การกำหนดอัตราค่าบริการพิเศษสามารถกระทำได้โดยพิจารณาถึงฐานะการเงินหรือรายได้ของผู้ใช้บริการ[86] ความมีอยู่ของอัตราค่าบริการพิเศษนี้อยู่ภายใต้ข้อเท็จจริงที่ว่า อัตราค่าบริการพิเศษที่สูงที่สุดนั้นเมื่อเทียบกับราคาหรือค่าใช้จ่ายในการจัดทำบริการสาธารณะแล้วยังคงต่ำกว่าหรือเท่ากับราคาหรือค่าใช้จ่ายดังกล่าว(แต่ก็มีปัญหาว่าค่าใช้จ่ายในการจัดทำดังกล่าวจะเป็นที่รับทราบเป็นการทั่วไปหรือไม่)[87]

หลักความเสมอภาคต่อหน้าบริการสาธารณะยังมีความสัมพันธ์กับหลักความเป็นกลาง(principe de neutralité) ตุลาการรัฐธรรมนูญได้กล่าวถึงหลักความเป็นกลางนี้ว่า เป็นเกณฑ์ที่มาจากการใช้หลักความเสมอภาค[88] กล่าวคือ หลักการนี้ห้ามจัดทำบริการสาธารณะแตกต่างกันออกไป โดยอ้างความเชื่อที่แตกต่างกันของผู้ใช้บริการ  สำหรับสภาแห่งรัฐ หลักความเป็นกลางบังคับให้ผู้จัดทำบริการสาธารณะต้องเป็นกลางไม่เลือกที่รักมักที่ชัง โดยอ้างเหตุผลทางการเมือง ศาสนา หรือสัญชาติของผู้ใช้บริการ[89] หลักการนี้ใช้กับสถานที่ที่ใช้จัดทำบริการสาธารณะด้วย กล่าวคือ สถานที่จัดทำบริการสาธารณะหนึ่งจะต้องเป็นที่ซึ่งมีความเป็นกลาง สภาแห่งรัฐได้ปฏิเสธการชุมนุมทางการเมืองที่ถูกจัดขึ้นในโรงเรียนมัธยม[90]

อย่างไรก็ดีสำหรับนักกฎหมายบางท่านเช่น ศาสตราจารย์ฌอง ฟรองซัว ราโชม(Jean François LACHAUME)[91] เห็นว่า หลักความเป็นกลางจะถูกนำไปใช้ในความหมายพิเศษ กล่าวคือ มุ่งไปในทางเนื้อหาของการคุ้มครองเสรีภาพ(liberté)มากกว่าที่จะมุ่งคุ้มครองในเรื่องความเสมอภาค(égalité) โดยเฉพาะในเรื่องของ ลาอิคซิเต้(laïcité) ที่มุ่งคุ้มครองหลักความเป็นกลางทางศาสนา (neutralité en matière religieuse) เช่น สภาแห่งรัฐยอมรับการใช้ผ้าคลุมหน้าหรือคลุมศีรษะของหญิงชาวอิสลามในสถานศึกษาของรัฐเพราะถือว่าเป็นไปตามหลักลาอิคซิเต้(laïcité) ในการแสดงความเชื่อทางศาสนาของตน[92] 

การใช้สิทธิของนักเรียนเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาสามารถจะถูกจำกัดทันทีโดยผู้รับผิดชอบของสถาบันศึกษา ถ้าสิทธิดังกล่าวก่อให้เกิดอุปสรรคหรือขัดต่อเป้าหมายของงานทางการศึกษาทั้งนี้ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ต่อมามีหนังสือเวียนของเบอู( circulaire Bayrou)[93] ลงวันที่ 20 ตุลาคม 1994 กำหนดให้การแสดงพิธีกรรมทางศาสนาจะต้องเป็นไปอย่างสงบ มีระเบียบ และห้ามมิให้ดำเนินการในลักษณะที่เป็นการอวดอ้างให้คนทั่วไปเชื่อตาม

หลักความเป็นกลางในความหมายนี้ถูกนำมาใช้ในทางปฏิบัติเป็นกรณี ๆ ไป เช่น สภาแห่งรัฐพิจารณาว่า กฎเกณฑ์ภายในขององค์กรที่กำหนดข้อห้ามทั่วไปอย่างเด็ดขาดเกี่ยวกับการแสดงความเชื่ออื่นที่แตกต่างจากแนวทางของศาสนาที่มีอยู่เป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย[94] เช่นเดียวกัน การแสดงออกเกี่ยวกับความเชื่อในทางศาสนาผ่านทางพิธีกรรมหรือการเฉลิมฉลองงานทางศาสนาโดยไม่ได้พิจารณาถึงความเหมาะสมสอดคล้องกับการจัดการทางการศึกษาและไม่เคารพความสงบเรียบร้อยของสถาบันหรือองค์กรนั้นๆ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบ[95] ในทางกลับกันสภาแห่งรัฐได้ตัดสินให้คำสั่งไล่เด็กนักเรียนออกจากสถานศึกษาชอบด้วยกฎหมาย ในกรณีที่เด็กนักเรียนสองคนปฏิเสธจะถอดผ้าคลุมศีรษะโดย
อ้างถึงหลักการนี้ เมื่อมีการสอนหรือศึกษาเกี่ยวกับกายภาพของบุคคล[96]  

                                (1.3) หลักการปรับตัวของบริการสาธารณะ (Adaptation ou Mutation)
 

                                หลักการนี้มีฐานความคิดว่า บริการสาธารณะจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้สอดคล้องกับวิวัฒนาการของความต้องการส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะอยู่เสมอ แต่เนื่องจากในความเป็นจริงการปรับตัวดูเหมือนเป็นเพียงลักษณะภายนอกทั่วๆไปที่เห็นได้อยู่แล้วของตัวบริการสาธารณะทุกประเภทนั้นเอง[97]  ดังนั้น ลักษณะของหลักการปรับตัวจึงไม่ได้ถูกพูดถึงในเชิงกฎหมายอย่างชัดแจ้ง

                                ปัจจุบัน แม้ว่าการใช้อำนาจดุลพินิจของฝ่ายปกครองโดยอ้างความต้องการส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะเพื่อการปรับเปลี่ยน(หรือยุบ เพิ่ม และยกเลิก)บริการสาธารณะ ยังไม่สามารถให้เนื้อหาในทางกฎหมายที่ชัดเจน  หลักการดังกล่าวก็ยังคงถูกนำมาพิจารณาสิทธิของผู้ใช้บริการและภาระหน้าที่ของผู้จัดทำบริการดังนี้

ประการแรก การเกิดกฎเกณฑ์ที่มุ่งแก้ไขปรับปรุงสิทธิของผู้ใช้บริการ กล่าวคือ ผู้ใช้มีสิทธิที่จะได้รับบริการในระดับมาตรฐานทั่วไป(droit au fonctionnement normal du service) ตามที่กฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ กำหนดไว้[98] แต่การตรวจสอบการกระทำของฝ่ายปกครองเพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับสิทธิตามมาตรฐานทั่วไปของบริการนั้น ศาลปกครองกลับควบคุมตรวจสอบในระดับอ่อน(un contrôle minimum) กล่าวคือ ดูว่ามีความผิดพลาดของฝ่ายปกครองในการพิจารณาใช้อำนาจตามกฎหมายและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ (ที่ให้สิทธิผู้ใช้บริการ)อย่างชัดแจ้งหรือไม่( l’erreur manifest d’appréciation )  ฝ่ายปกครองจึงพิสูจน์แต่เพียงว่าตนได้ใช้อำนาจอยู่ในกรอบที่วิญญูชนทั่วไปพึงกระทำ ก็จะได้รับความคุ้มครอง[99]   ดังนั้น จึงเป็นการยากที่ผู้ใช้บริการจะอ้างว่ามีการใช้หลักการปรับตัวของบริการสาธารณะโดยไม่ชอบ

                                นอกจากนี้ในความเป็นจริงบ่อยครั้งที่หลักการดังกล่าว ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิ์ของผู้ใช้บริการสาธารณะ ผู้ใช้เองแทบจะไม่มีความมั่นคงของสิทธิที่มีอยู่หรือได้รับไปแล้วตามกฎหมายเลย (droit acquis) ทั้งในเรื่องบริการที่มีอยู่และสิทธิของผู้ใช้ที่เกี่ยวข้องกับบริการ เมื่อมีการยกเลิกบริการสาธารณะนั้น เช่น การยกเลิกเส้นทางการบินที่ขาดทุน[100] อีกทั้งในกรณีที่มีข้อจำกัดเสรีภาพของผู้ใช้บริการตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน  แม้จะมีลักษณะชัดเจนและชอบด้วยกฎหมาย สิทธิและสถานะของผู้ใช้บริการก็จะตกอยู่ภายใต้กฎหรือคำสั่งทางปกครองอยู่ดี เช่น  การขึ้นค่าธรรมเนียมในการรักษาพยาบาลและค่าห้องของโรงพยาบาลของรัฐ หรือการปรับราคาที่ผูกพันผู้ใช้ตามสัญญาของบริการสาธารณะในเชิงพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม  ย่อมกระทบต่อผู้ใช้บริการโดยตรง แม้จะเป็นการปรับตัวของบริการ  อย่างไรก็ดี บริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมบางประเภทจะเปลี่ยนแปลงได้ก็ต่อเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไข หรือไม่ขัดต่อข้อยกเว้นตามกฎหมาย เช่น อัตราค่าบริการในการใช้กาซ และไฟฟ้าจะเปลี่ยนแปลงตามหลักการปรับตัวของบริการสาธารณะได้ต่อเมื่ออัตราค่าบริการใหม่ไม่มีผลย้อนหลัง[101]

                                ประการที่สอง การปรับเปลี่ยนของบริการสาธารณะก่อให้เกิดภาระหน้าที่แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เนื่องจากข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจะมีตำแหน่งและอำนาจหน้าที่ก็เฉพาะตามที่กฎหมายหรือกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกำหนดไว้เท่านั้น (situation légale et réglementaire) ไม่ได้รับสิทธิใด ๆ (droit acquis) ในทางกฎหมายที่จะคงตำแหน่งหน้าที่เดิมหรือห้ามมิให้มีการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหน้าที่ของตน  ดังนั้น ในกรณีที่มีความจำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนบริการสาธารณะ ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอาจจะต้องทำงานบริการที่ไม่สอดคล้องโดยตรงกับระดับของตนได้  สำหรับบุคคลที่เป็นพนักงานหรือบุคลากรที่มีสถานะในการทำงานตามข้อสัญญา บุคคลดังกล่าวก็อาจถูกออกจากงานบริการได้เมื่อมีการจัดองค์กรใหม่ตามเป้าหมายและภาระกิจของบริการสาธารณะที่เปลี่ยนแปลงไป

                                ประการที่สาม สำหรับบุคคลผู้เป็นคู่สัญญากับฝ่ายปกครองในการจัดทำบริการสาธารณะหนึ่ง ๆ ตามสัญญาปกครอง ย่อมผูกพันและอยู่ภายใต้อำนาจการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบริการสาธารณะฝ่ายเดียวของฝ่ายปกครอง[102]  

                                อาจสรุปได้ว่า หลักการทั้งสามของระบบกฎหมายทั่วไปที่ใช้กับบริการสาธารณะทุกประเภทนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อสนองตอบความต้องการส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะ  อย่างไรก็ดี ความต้องการส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะนี้ก็ยังถูกอธิบายโดยระบบกฎหมายเฉพาะที่ใช้กับบริการสาธารณะบางประเภทด้วย 

                                (2.) ระบบกฎหมายเฉพาะที่ใช้กับบริการสาธารณะบางประเภท 

                                ความเชื่อในช่วงแรกได้จำกัดบริการสาธารณะอยู่กับหลักกฎหมายทั่วไป 3 ประการข้างต้น ความจริงแล้ว ยังมีบริการสาธารณะอื่นเช่นกันที่พัฒนาขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ภายใต้ระบบกฎหมายเฉพาะ ซึ่งมีลักษณะทั่วไปประการหนึ่งคือ เป็นระบบที่แยกต่างหากออกจากกลไกตลาดทั่วไป ปัจจุบันระบบกฎหมายเฉพาะนี้ได้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับลักษณะทางกฎหมายของการผูกขาด(Monopole)บริการสาธารณะ และปัญหาในเรื่องราคาหรือค่าบริการของบริการสาธารณะ (Prix) 

                                (2.1) ปัญหาลักษณะทางกฎหมายของการผูกขาดบริการสาธารณะ (Question juridique du monopole des services publics)

 

                                อาจกล่าวได้ว่าเอกลักษณ์พิเศษอย่างหนึ่งของบริการสาธารณะฝรั่งเศสก็คือ บริการสาธารณะจำนวนหนึ่งถูกผูกขาดและยังคงมีลักษณะผูกขาดมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นบริการสาธารณะที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของประชาชน เช่น การไฟฟ้า กาซ การไปรษณีย์ การสื่อสารโทรคมนาคม การขนส่งทางอากาศและทางรถไฟ  การยกเลิกการผูกขาดบริการสาธารณะบางประเภทเพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลประชาคมยุโรปจึงดูเหมือนเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบและขัดต่อธรรมชาติของบริการสาธารณะเหล่านี้

                                อย่างไรก็ดี การผูกขาดเป็นเพียงการจัดการอย่างหนึ่งมิได้มีลักษณะเป็นหลักกฎหมายของบริการสาธารณะ ด้วยเหตุผลดังนี้

                                ประการแรก ลักษณะของการผูกขาดเอง ส่วนมากจะถูกนำมาใช้กับส่วนใดส่วนหนึ่งของบริการสาธารณะเท่านั้น ตัวอย่างเช่น บริการไฟฟ้าของฝรั่งเศส ตามกฎหมาย (Loi) n°2000-108 du  10 กุมภาพันธ์ 2000 กำหนดลักษณะผูกขาดเฉพาะในเรื่องการจำหน่ายกระแสไฟฟ้า ส่วนในเรื่องของการตลาด การไฟฟ้าจะต้องเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมเพื่อให้ได้ผู้เหมาะสมที่จะเข้ามาจัดการการตลาดเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า เช่นเดียวกัน กรณีที่มีการจัดทำบริการสาธารณะในลักษณะใกล้เคียงกัน บริการสาธารณะบางประเภทที่มีลักษณะผูกขาดก็ยอมรับการแข่งขันทางการค้าในทางความเป็นจริงกับบริการสาธารณะที่มีลักษณะผูกขาดอื่น(เช่นกรณีการไฟฟ้ากับกิจการกาซของฝรั่งเศส) หรือยอมรับการแข่งขันทางการค้าระหว่างบริการสาธารณะที่มีลักษณะผูกขาดประเภทเดียวกัน แต่มีวิธีการจัดทำที่แตกต่างกัน เช่น บริการสาธารณะเกี่ยวกับการขนส่งทางรถไฟกับบริการขนส่งทางรถยนต์หรืออากาศยาน

                                ประการที่สอง ความมีอยู่ของหลักกฎหมายเกี่ยวกับเสรีภาพในทางการค้าและอุตสาหกรรม (principe de la liberté du commerce et de l’industrie) ตามกฎหมาย (Loi le chapelier des 14-17 มิถุนายน 1791) และหลักกฎหมายเกี่ยวกับเสรีภาพในการดำเนินการทางการค้า (principe de la liberté d’entreprendre) ที่ตุลาการรัฐธรรมนูญพิพากษารับรองไว้[103]  ได้แสดงให้เห็นว่าการผูกขาดทางการค้ามิได้มีฐานทางกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือพระราชบัญญัติรองรับแต่อย่างใด  นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงการปฏิเสธลักษณะผูกขาดทางการค้าของรัฐหรือฝ่ายปกครองในพระราชกำหนด(l’ordonnance
n° 86-1243 du 1 ธันวาคม 1986) (เกี่ยวกับเสรีภาพในเรื่องราคาและการแข่งขันทางการค้า) ที่สร้างกลไกห้ามการผูกขาด ตลอดจนกำหนดและตรวจสอบให้มีการแข่งขันทางการค้าอย่างเสรีในการจัดทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจของบุคคลในทางกฎหมายมหาชน  และการรับรองสิทธิตามรัฐธรรมนูญของภาคเอกชนในการจัดทำหรือเข้าร่วมกับภาคมหาชนในการจัดทำบริการสาธารณะแล้ว[104] การผูกขาดจึงมิใช่หลักกฎหมายบริการสาธารณะอีกเช่นกัน

                                แม้การผูกขาดจะมิใช่หลักกฎหมาย แต่ในทางความเป็นจริงประเทศต่าง ๆได้ยอมรับและใช้การผูกขาดนี้ควบคู่กับการแข่งขันเสรีทางการค้าเสมอ เนื่องจาก

                                ประการแรก เป็นที่ยอมรับกันว่าบริการสาธารณะในระยะเริ่มแรกมีขึ้นเพื่อสร้างความเป็นรัฐอธิปไตยโดยใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐในการจัดทำ เช่น งานการทูต งานการคลัง งานปกป้องประเทศจากศัตรูภายนอก งานรักษาความสงบภายในและงานตัดสินคดี  การใช้อำนาจดังกล่าวจึงแสดงให้เห็นถึงการกระทำของรัฐที่แยกออกจากการกระทำของเอกชน และความชอบธรรมของรัฐในการใช้วิธีผูกขาดจัดทำบริการสาธารณะที่มีที่มาจากอำนาจอธิปไตยเสมอมา  ด้วยเหตุนี้ ตุลาการรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสจึงพิพากษารับรองหลักการจัดทำบริการสาธารณะที่ใช้อำนาจอธิปไตยนี้ว่าเป็นหลักประกันที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ และไม่อาจถูกจัดทำโดยเอกชนได้[105]

                                อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่าองค์กรภาคเอกชนที่ได้รับมอบอำนาจให้จัดทำบริการสาธารณะในรูปขององค์กรวิชาชีพ สมาคม สมาพันธ์ทางการกีฬา กลับได้รับการยอมรับว่าเป็นการจัดทำบริการสาธารณะโดยการผูกขาดในความหมายข้างต้นเช่นกัน  ดังนั้น อำนาจขององค์กรในการออกกฎเกณฑ์หรือในการลงโทษจึงไม่สามารถจะถูกแบ่งแยกได้  นัยเดียวกัน ศาลคดีขัดกันได้วินิจฉัยว่าคณะกรรมการป้องกันการผูกขาดทางการค้า(Conseil de la concurrence) และศาลอุทธรณ์แห่งเมืองปารีส (la Cour d’appel de Paris) ไม่มีอำนาจพิจารณาการกระทำฝ่ายเดียวหรือสัญญาเกี่ยวกับการได้มาหรือรับโอนซึ่งอำนาจหน้าที่หรือเกี่ยวกับการจัดองค์กรในการจัดทำบริการสาธารณะ(แม้จะเป็นบริการทางเศรษฐกิจ บริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม) เนื่องจากการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ใช้เอกสิทธิ์ของอำนาจมหาชน[106] (เป็นเรื่องการดำเนินงานและการจัดองค์กร ไม่ใช่เรื่องในเนื้อหาที่เกี่ยวกับการแข่งขันทางการค้าโดยตรง)  ดังนั้น สภาแห่งรัฐจึงสามารถเข้าตรวจสอบการกระทำดังกล่าวได้  อำนาจของสภาแห่งรัฐในการตรวจสอบการจัดองค์กรนี้ได้ขยายรวมไปถึงการ ควบ หรือ รวม บริษัท(ผู้จัดทำบริการสาธารณะ) ที่ทำให้อำนาจในการแข่งขันทางการค้าของบริษัทนั้นเพิ่มขึ้นในตลาดด้วย (concentration)  ทั้งนี้ ตามอำนาจที่กำหนดไว้ในพระราชกำหนดปี 1986 (กรณีนี้ถือว่าสภาแห่งรัฐตรวจสอบในเนื้อหาได้แม้จะเป็นเรื่องการแข่งขันทางการค้าในภาคเศรษฐกิจ เพราะอ้างฐานอำนาจตามกฎหมายเฉพาะเรื่อง)[107]

                                ประการที่สอง มีความจำเป็นที่จะคุ้มครองการแข่งขันทางการค้าของภาคเอกชนเพราะการจัดทำบริการสาธารณะบางประเภทของรัฐ เอกชนไม่สามารถทำได้เนื่องจากไม่คุ้มทุน(เป็นกิจการที่มิได้ให้กำไร) และยังต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่สร้างภาระหน้าที่มากกว่าปกติ และถ้าหากปล่อยให้เอกชนเข้าแข่งขันทางการค้าแล้ว กรณีก็จะเกิดความไม่เป็นธรรม เนื่องจากมีการใช้อำนาจรัฐที่เหนือกว่าโกงหรือเข้าแสวงหาโอกาสนอกกติกาได้  ในเรื่องนี้จะเห็นได้จากหลักกฎหมายของสภาแห่งรัฐในปี 1932 กรณี Société des Autobus Antibois ที่สภาแห่งรัฐยอมให้มีการผูกขาดบริการสาธารณะเกี่ยวกับการขนส่งทั่วไป เมื่อคำนึงถึงอำนาจในการใช้หรือจัดสรรที่สาธารณะประโยชน์ของฝ่ายปกครอง(ที่มีมากกว่าอำนาจการใช้หรือจัดสรรที่ดังกล่าวโดยเอกชน; ฝ่ายปกครองจึงมีอำนาจเหนือและได้เปรียบที่จะแสวงหาประโยชน์นอกกติกา ซึ่งจะทำให้การแข่งขันทางการค้าไม่เกิดขึ้นจริง)  หลักกฎหมายนี้ยังปรับใช้กับการใช้ประโยชน์ในที่สาธารณะอื่น เช่นในกรณีการจัดทำบริการสาธารณะเกี่ยวกับการขนส่งทางทะเล

                                ประการสุดท้าย เหตุผลในทางเทคนิคเกี่ยวกับการจัดทำบริการสาธารณะใด ๆ อย่างทั้งหมดซึ่งมีความหลากหลายซับซ้อนของปัจจัยพื้นฐานและการดำเนินการ จนทำให้มีภาระหนักในการลงทุนหรือมีความยากลำบากในการจัดทำและการแข่งขันทางการค้า เช่น บริการสาธารณะเกี่ยวกับเครือข่ายขนส่งมวลชนทั้งหมด หรือการไฟฟ้าหรือกาซ 

                                (2.2) ปัญหาในเรื่องราคาหรือค่าบริการของบริการสาธารณะ(Question du prix des services publics) 

                                ปัญหาว่าบริการสาธารณะเป็นสิ่งให้เปล่า(gratuit)หรือมีราคาค่าบริการ(prix) หรือไม่ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ในทางทฤษฎียังไม่มีการยอมรับว่าหลักการให้เปล่าเป็นหลักทั่วไปหลักหนึ่งของบริการสาธารณะ คงเป็นเพียงแนวความคิดที่เป็นทางเลือกหนึ่งเท่านั้น  ในทางตรงข้ามหลักการให้เปล่าได้ถูกนำมาใช้โดยกฎหมายบางฉบับบ้างแล้ว[108]  สำหรับสภาแห่งรัฐ หลักการนี้เป็นเพียงหลักที่สามารถนำมาใช้กับบริการสาธารณะทางปกครองโดยแท้(les services administratifs obligatoire)โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญหรือพระราชบัญญัติเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เทศบาลจึงไม่สามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่าย(ค่าบริการที่ชำระให้แก่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงไปแล้ว)จากผู้ประสบอุบัติเหตุที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้นำตัวส่งโรงพยาบาล [109]

                                อย่างไรก็ดี บริการบางอย่างที่ถูกจัดทำขึ้นโดยบริการสาธารณะทางปกครองโดยแท้ สามารถที่จะเรียกเก็บค่าบริการจากผู้ใช้บริการบางประเภทได้[110] เช่น กฎหมาย  loi n° 96-369 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 1996 (มาตรา 42) บัญญัติให้บริการสาธารณะเกี่ยวกับการป้องกันอัคคีภัยของการปกครองส่วนจังหวัด (Département) สามารถร้องขออาสาสมัครโดยมีค่าจ้างสำหรับกิจกรรมดังกล่าวได้ แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงการร้องขออาสาสมัครในบริการระดับรองอื่น ๆ เช่น การค้นหาสัตว์เลี้ยงที่สูญหายหรือการขจัดรังต่อหรือแมลง  หรือในกรณีแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการกีฬา เทศบาลสามารถที่จะร้องขอคืนเงินสำหรับช่วยเหลือบุคคลในการกีฬาได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าคณะเทศมนตรีได้มีมติเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวและได้ประกาศวิธีการขอคืนเงินดังกล่าวไว้ด้วยแล้ว[111]

                                ในทำนองเดียวกัน แม้จะมีข้อกำหนดการให้เปล่าของบริการสาธารณะเกี่ยวกับการเรียนการสอนในทุกระดับชั้น ตามวรรคที่ 13 ของคำปรารภของรัฐธรรมนูญปี 1946 กฎหมาย ( loi )ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 1951 ได้ยอมรับให้มหาวิทยาลัยเรียกเก็บค่าลงทะเบียนศึกษากฎหมายได้ และสภาแห่งรัฐปฏิเสธที่จะตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายดังกล่าว[112] ในทางตรงข้ามสภาแห่งรัฐกลับตรวจสอบกฎหมายที่บังคับเรียกเก็บภาษี redevance โดยใช้อัตราค่าใช้จ่ายประเภทค่าเอกสารชุด (dossier)เกี่ยวกับบริการหรือผลประโยชน์ที่ยังมิได้กำหนดประเภทไว้อย่างชัดเจน[113]

                                ในส่วนที่เกี่ยวกับบริการสาธารณะในเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม หลักการยอมรับให้มีภาษี redevance เกี่ยวกับการใช้บริการ ถือเสมือนเป็นค่าตอบแทนการใช้บริการสาธารณะประเภทนี้โดยตรงจะเห็นได้จากมาตรา 2224-1, Code général des collectivités territoriales ที่กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเรียกเก็บภาษี redevance เพื่อสร้างความสมดุลในงบประมาณการจัดทำบริการสาธารณะประเภทนี้ และมาตรา 2224-2 Code général des collectivités territoriales ซึ่งห้ามมิให้เทศบาลใช้เงินสนับสนุนของรัฐเกี่ยวกับเงินเดือนมาสร้างสมดุลในงบประมาณของบริการสาธารณะดังกล่าว

                                อาจสรุปได้ว่า องค์ประกอบที่เป็นลักษณะพื้นฐานของบริการสาธารณะในเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม ก็คือการรับค่าบริการจากผู้ใช้[114]  ในกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น พระราชกำหนด ( l’ordonnance) n° 86-1243 ลงวันที่ 1 ธันวาคม 1986 เกี่ยวกับเสรีภาพของราคาและการแข่งขันทางการค้าก็จะมีผลใช้บังคับกับบริการสาธารณะในเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม ซึ่งรวมถึงการมอบหมายให้จัดทำบริการสาธารณะดังกล่าวด้วย

                                สำหรับภาษี redevance ที่ถือเสมือนเป็นค่าตอบแทนบริการนี้โดยทั่วไปจะเรียกเก็บในจำนวนเงินที่สอดคล้องกับราคาค่าบริการ กล่าวคือจำนวนเงินที่จะได้รับชำระจะเป็นสัดส่วนเท่ากับราคาค่าบริโภค(การใช้บริการ) ของผู้ใช้บริการ[115]  อย่างไรก็ตาม ภาษี redevance  อาจจะมีจำนวนเงินที่ถูกเรียกเก็บไม่เท่ากับราคาของบริการหรือผลประโยชน์ที่จัดให้ก็ได้โดยรวมเป็นส่วนหนึ่งกับค่าใช้จ่ายที่แน่นอน(frais fixes)  นอกจากนี้ยังสามารถที่จะถูกปรับเปลี่ยนราคาไปได้เมื่อพิจารณาถึงผลประโยชน์ส่วนรวม แต่ต้องอยู่ภายใต้หลักความเสมอภาค[116] บริการหรือผลประโยชน์ซึ่งก่อให้เกิดภาษี redevance จะต้องมีลักษณะที่สามารถกำหนดถึงความเฉพาะเจาะจงของการใช้(individualisable)[117] และสามารถให้หรือประเมินราคาได้(quantifiable)[118]

 คลิ๊กเพื่อไปอ่านตอนที่ 2 ปัญหาของข้อความคิด แนวทางการใช้ และระบบกฎหมายของทฤษฎีบริการสาธารณะ

 

 

(กลับไปข้างบน) /(กลับไปหน้าแรก) / (กลับไปสารบัญบทความ)
 

 

 


 

[1] เนื้อหาส่วนใหญ่ของบทความนี้เรียบเรียงจากหนังสือ “Le service public” Dalloz, 2 e éd. 2002 ของ Pierre ESPLUGAS.

[2] การศึกษากฎหมายมหาชนแบบทั้งมวล คือการศึกษากฎหมายมหาชนโดยวิธีทางสังคมวิทยากฎหมาย(ความคิดทางสังคมวิทยาที่มีอิทธิพลในช่วงดังกล่าวได้แก่ ความคิดของ เอมิล เดอไคร์ม(Emile DURKHEIM) แม็กซ์ เวเบิล(Max WEBER) และเฮอร์เบริต์ สเปนเซอร์ (Herbert SPENCER))ที่คำนึงถึงปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ในฐานะเหตุและผลของการเกิดขึ้นหรือการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายมหาชนใน
ยุคหนึ่ง ๆ โดยใช้ รัฐ เป็นวัตถุในการศึกษา เพื่อให้ได้ รัฐ ที่เป็นภาพรวมทั้งหมด สังเคราะห์ทั้งหมด (แตกต่างจากการศึกษาผ่านทางศาสตร์ หรือสาขาต่าง ๆ เพราะการแบ่งแยกศึกษาไม่สามารถมอง รัฐ ในภาพองค์รวมได้ ) การศึกษาในแง่นี้จึงให้เนื้อหาทางประวัติศาสตร์ (ความเป็นอยู่ของรัฐหรือบริบทของสังคมในแต่ละสมัย) ให้แนวความคิดในทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองในบริบทของสังคมนั้น ๆ และให้กฎเกณฑ์(กฎหมายมหาชน)ที่เกิดขึ้นจากแนวความคิดของสังคมนั้น ๆ (โปรดดูบทสัมภาษณ์ ศ. ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ใน PUB-LAW.NET 23 พฤษภาคม 2546 โดย รศ. นันทวัฒน์  บรมานันท์)ความสัมพันธ์ในลักษณะไตรภาคีระหว่าง รัฐ(ในฐานะบริบทของสังคมในช่วงขณะหนึ่ง) กับปรัชญา(แนวความคิดหลักที่มีอิทธิพลเหนือสังคมขณะนั้น) และกฎหมาย(กฎเกณฑ์ที่เกิดจากการปรับใช้ ความคิดในสังคม ณ ช่วงเวลานั้น)ได้แสดงถึงนิติวิธีของกฎหมายมหาชนที่ใช้สังคมวิทยาการเมืองของรัฐเป็นข้อเท็จจริง และใช้กฎหมาย(การร่างกฎหมายและหลักกฎหมายที่ได้จากการพิจารณาคดี)ที่สอดคล้องกับแนวความคิดทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจที่ได้รับการยอมรับในสังคม วางแนวทางหรือแก้ไขปัญหา
ข้อพิพาทที่เกิดขึ้น ดังที่ ศ. ดร. อมร จันทรสมบูรณ์ได้เน้นย้ำอยู่เสมอ ผลอีกประการหนึ่งของการศึกษากฎหมายเช่นนี้ได้นำไปสู่หลักนิติรัฐ
(Etat de droit)ที่มองหลักการดังกล่าวจากความเป็น รัฐและการปกครอง(การกระทำของรัฐ)ไปสู่การประกันสิทธิของผู้อยู่ภายใต้การปกครอง(การควบคุมอำนาจรัฐ)โดยเฉพาะในประเทศสาธารณรัฐฝรั่งเศสและประเทศสหพันธสาธารณรัฐเยอรมันซึ่งแตกต่างจากหลักนิติรัฐ(the Rule of law)ในกลุ่มประเทศคอมมอนลอว์ที่มีแนวโน้มมองหลักการนี้โดยเริ่มที่การคุ้มครองประกันสิทธิของผู้อยู่ภายใต้ปกครองจากการใช้อำนาจที่
มิชอบของรัฐโดยศาล

[3] ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประเทศสาธารณรัฐฝรั่งเศสมีปัญหาความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการกำหนดเขตอำนาจของศาลปกครอง ลักษณะของคดีปกครอง และลักษณะของกฎหมายปกครอง ต่อมาเมื่อมีการปฏิรูปการปกครองมอบอำนาจให้สภาแห่งรัฐ (Conseil d’Etat) ตัดสินคดีปกครองในฐานะเช่นองค์กรตุลาการเมื่อปี ค.ศ. 1872  ศาลคดีขัดกัน(Tribunal de conflit)จึงตัดสินคดี Blanco ในปี 1873 ตามแนวคำพิพากษาสภาแห่งรัฐคดี Rotschild ในปี 1855 เพื่อใช้คำพิพากษาคดี Blanco เป็นหลักการเดียวในการกำหนดเขตอำนาจของศาลปกครองและถือเป็นการยกเลิกหลักการเรื่องรัฐที่เป็นลูกหนี้(L’Etat débiteur)ที่สภาแห่งรัฐเคยใช้คู่กันมากับคดี Rotschild

[4] อย่างไรก็ตามมีงานในทางวิชาการระยะหลังที่วิพากษ์วิจารณ์ความคิดของเล-อง ดูกีต์ (Léon DUGUIT) และพยายามชี้ให้เห็นว่า ดูกีต์ ไม่ใช่เจ้าของความคิดเรื่องบริการสาธารณะที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน  ดังนั้น ความคิดของนักกฎหมายที่ได้รับอิทธิพลจาก ดูกีต์ (Ecole duguiste) ความคิดของนักกฎหมายที่ศึกษาและสำเร็จจากสำนักบอร์กโดซ์ (Ecole de Bordeaux) และความคิดของนักกฎหมายที่เชื่อในทฤษฎีบริการสาธารณะ (Ecole du service public)ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน; โปรดดู Ecole de Bordeaux, école du service public et école duguiste : proposition de distinction, โดย Fabrice MELLERAY, RDP. n°6,2001, p.1887.

[5] ประเด็นข้อถกเถียงส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องคำจำกัดความข้อความคิดทางกฎหมายของบริการสาธารณะ และบทบาทของบริการสาธารณะในระบบกฎหมาย

[6] ประเด็นข้อถกเถียงจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของคุณภาพ ประสิทธิภาพ และราคาของบริการสาธารณะ 

[7] ศาสตราจารย์ Charles EISENMANN วิเคราะห์ความคิดเกี่ยวกับบริการสาธารณะของดูกีต์ว่า เป็นการกล่าวถึงบริการสาธารณะในสองฐานะ
คือ บริการสาธารณะในฐานะที่เป็นองค์กรหรือสถาบัน(Service public au sens organisme ou institution) และบริการสาธารณะในฐานะที่เป็นภาระหน้าที่ในทางสังคม(Service public au sens  fonction sociale)

[8] EISENMANN Charles, “Définition et structure du droit administratif; année 1951-1952” in  Cours de droit administratif, Tome I, LGDJ, 1982, p.25.

[9] เพิ่งอ้าง, EISENMANN, p.25.

[10] DUGUIT Léon, “Traité de droit constitutionnel” 3 e éd., 1928, Tome II, p.61.

[11] อ้างแล้ว ESPLUGAS Pierre, Service public, p.12.

[12] อ้างแล้ว DUGUIT Léon, “Traité de droit constitutionnel”, p.59.

[13] PISIER-KOUCHNER Evelyne, “Le service public dans la théorie de l’Etat de Léon DUGUIT”, LGDJ, 1972, p.141.

[14] Maurice HAURIOU, “Précis de droit administratif” : préface à la 11 e éd., 1927.

[15] CE, 7 เมษายน 1916, Astruc.

[16] T. Confl., 22 มกราคม 1921, Société commerciale de l’Ouest Africain.

[17] DC., 25 -26 มิถุนายน 1986, Privatisations.

[18] JEZE Gaston, “Principe généraux du droit administratif” Tome II, p.16.

[19] de LAUBADERE André, “Traité de droit administratif” Tome I, 8e éd., LGDJ, p.616.

[20] CE, 29 มีนาคม 1901, Casanova, GAJA 13eéd., n°8 ,.p.51-56.

[21] CE, 30 พฤษภาคม 1930, Chambre syndicale des commerces en détail de Nevers, GAJA 13e éd., n°46, p.282-291.; ต่อมาหลักการนี้ได้พัฒนาและยอมรับให้รัฐจัดทำบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมมากขึ้น โดยไม่จำต้องอ้างหลักความยากหรือเป็นไปไม่ได้ที่เอกชนจะจัดทำบริการดังกล่าวทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ แต่อ้างหลักเรื่องการแทรกแซงทางเศรษฐกิจของรัฐโดยตรง เนื่องจากเป็นเรื่องของประโยชน์สาธารณะในสองแนวทางคือ (1.)เป็นอำนาจขององค์กรทางปกครองโดยตรงที่จะต้องดำเนินการเช่นนั้นตามภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เช่น การเปิดบริการให้คำปรึกษาทางกฎหมายโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หรือการจัดสรรที่อยู่หรือการเคหะเพื่อให้เกิดความเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนทั่วไป (2.)มีวัตถุประสงค์บางประการของการจัดทำบริการสาธารณะบางประเภทที่องค์กรทางปกครองสามารถจัดทำได้เองโดยไม่ถือว่าขัดต่อหลักเสรีภาพทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม เช่น การผลิตวัสดุสิ่งของ เครื่องใช้ เพื่อตอบสนองความต้องการขององค์กรเอง โดยไม่ผ่านกลไกตลาด หรือเป็นกรณีที่องค์กรทางปกครองทำแทนองค์กรทางปกครองอื่นในฐานะผู้เข้าดำเนินการตามสัญญาระเบียบพัสดุหรือสัญญาที่มอบหมายให้จัดทำบริการสาธารณะเช่นเดียวกับบริษัทเอกชน และแข่งขันกับบริษัทเอกชน(โปรดดู GAJA n° 46 หัวข้อที่ 7 -9 หน้า 287-289 ) ในที่สุดการห้ามบุคคลตามกฎหมายมหาชนจัดทำหรือให้ความช่วยเหลือกิจกรรมทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมจะวางอยู่บนหลักการคุ้มครองความไม่เสมอภาคในการแข่งขันทางการค้าและความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายแก่บริษัทเอกชน เพราะ ความได้เปรียบของอำนาจรัฐที่จะไม่ดำเนินการแข่งขันอย่างตรงไปตรงมา  ในทางตรงกันข้ามบุคคลตามกฎหมายมหาชนสามารถจัดทำหรือให้ความช่วยเหลือกิจกรรมทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมได้หากอยู่ภายใต้ (1.)หลักความเสมอภาคของเงื่อนไขในการแทรกแซงทางเศรษฐกิจ เช่น อยู่ภายใต้ราคา หรืออัตราค่าบริการที่เท่าเทียมกับบริษัทเอกชนในการจัดทำบริการ (2.) หลักการได้รับหรือให้ความช่วยเหลือที่อยู่ภายใต้หลักความเสมอภาคในการแข่งขันทางการค้า (การจัดทำหรือให้ความช่วยเหลือบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมของบุคคลตามกฎหมายมหาชนจึงเป็นหลักการที่ทำได้ (มิได้เป็นข้อยกเว้นอีกต่อไป) แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขความเสมอภาคในการแข่งขันทางการค้า (อย่างไรก็ตาม ในชั้นของกฎหมายประชาคมยุโรป หลักการนี้มีข้อยกเว้นให้ผู้เข้าจัดทำบริการที่มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจส่วนรวม(service d’intérêt économique général) ไม่ว่าจะเป็นนิติบุคลตามกฎหมายมหาชนหรือเอกชน เช่น บริการไปรษณีย์ ได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องอยู่ภายใต้หลักความเสมอภาคในการแข่งขันทางการค้า โปรดดูคำพิพากษา CJCE 19 พฤษภาคม 1993, Corbeau) ปัจจุบันนี้ หลักการดังกล่าวได้กลายเป็นหลักการสำคัญในกฎหมายมหาชนเศรษฐกิจ) (โปรดดู GAJA n° 46 หัวข้อที่  10-11 หน้า 289-291 )

[22] M-P Deswarte, “L’intérêt général, bien commun” RDP. 1988, p.1289.

[23] ความเห็นของ George VEDEL อ้างใน Dictionaire de droit administratif ของ Agathe Van Lang, Geneviève Gondouin และ Véronique Inserguet-Brisset, 3e éd. Armand Colin, 2002, p.173.

[24] ODENT Raymond “Cours de Contentieux administrative”, in Les cours du droit 1977-1981.

[25] CE, Sect., 28 มิถุนายน 1963, Narcy.

[26] โมริซ โอรีอู  เห็นด้วยกับการใช้ทฤษฎีบริการสาธารณะในแนวทางนี้, อ้างใน ESPLUGAS Pierre, Service public, p.19.

[27] ในทางทฤษฎีอาจกล่าวได้ว่าบริการสาธารณะก็คือเกณฑ์พื้นฐานทั่วไปของข้อความคิดอื่นๆในกฎหมายปกครองเช่นกัน แต่เนื่องจากบริการสาธารณะในแนวทางที่สองนี้ไม่ใช่เกณฑ์ทั่วไปหนึ่งเดียวที่ใช้โดยตรงกับกฎหมายปกครองเหมือนในแนวทางแรก และในบางกรณีก็ไม่สามารถใช้กำหนดเนื้อหาและแนวทางการใช้ของข้อความคิดอื่นๆในกฎหมายปกครองได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยลำพัง จนทำให้สภาแห่งรัฐต้องนำเกณฑ์เรื่องอำนาจเหนือของฝ่ายปกครอง(เอกสิทธิ์ของอำนาจมหาชน)มาใช้พิจารณาข้อความคิดอื่นๆในกฎหมายปกครองควบคู่กับเกณฑ์เรื่องบริการสาธารณะอยู่เสมอ ผู้เขียนจึงขอเรียกบริการสาธารณะในแนวทางที่สองนี้ว่า เกณฑ์พิเศษที่ใช้เป็น ที่มา หรือ กรอบ ให้กับข้อความคิดอื่นๆในกฎหมายปกครอง

[28] เพราะแม้ว่า loi portant sur réorganisation de Conseil d’Etat  ปี 1872 จะกำหนดให้สภาแห่งรัฐมีอำนาจตัดสินคดีปกครองดังเช่นองค์กรตุลาการ แต่ก็มิได้กำหนดเขตอำนาจของศาลปกครองหรือคดีปกครองไว้อย่างชัดเจน  อีกทั้ง แม้สภาแห่งรัฐจะมีประสบการณ์ตัดสินคดีปกครองมากว่า
80 ปี ก่อนการปฏิรูปก็ตาม แนวคำพิพากษาก็ยังใช้เกณฑ์หลากหลายแตกต่างกันในการตัดสินว่าคดีใดเป็นคดีปกครองที่อยู่ในเขตอำนาจของ
ศาลปกครอง (ตัวอย่างเช่น เกณฑ์เรื่องบริการสาธารณะในคดี Rotchild  เกณฑ์เรื่องรัฐที่เป็นลูกหนี้ (l’Etat du débiteur) หรือเกณฑ์เรื่องอำนาจเหนือของฝ่ายปกครอง(เอกสิทธิ์อำนาจมหาชน)  ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของนักวิชาการ (doctrine) ที่จะวิพากษ์วิจารณ์และสร้างเกณฑ์ที่จะนำมาใช้

[29] ในปัจจุบันความรับผิดที่เกิดจากยานพาหนะ (ซึ่งรวมถึงยานพาหนะของฝ่ายปกครองทั้งทางบก ทางน้ำ(พาณิชย์นาวี) ทางอากาศ) เป็นไปตาม loi  31 ธันวาคม 1957  กำหนดให้ศาลยุติธรรมศาลเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีโดยใช้หลักความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่ง

[30] แท้ที่จริงการใช้คำว่า บริการสาธารณะ ในคดี Blanco มีวัตถุประสงค์หลักที่เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงการยกเลิกหลักเรื่อง รัฐไม่มีความรับผิด” (L’irresponsabilité de l’Etat) และข้อยกเว้นที่ทำให้รัฐมีความรับผิดได้ หลักเรื่องรัฐที่เป็นลูกหนี้ (l’Etat débiteur) เท่านั้น (หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ปรัชญาการเมืองในเรื่องความรับผิดของรัฐได้เปลี่ยนไป ทำให้ศาลคดีขัดกันต้องสร้างกรอบของกฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นมารองรับหลักการดังกล่าว)  เพราะคำว่า บริการสาธารณะ ที่ถูกนำมาใช้ในขณะนั้นยังไม่มีความหมายใดๆในทางกฎหมาย เป็นเพียงคำอ้างเพื่อจะนำมาใช้แบ่งแยกลักษณะของกฎหมายปกครองและเขตอำนาจของศาลปกครองไปพลางก่อน  ศาสตราจารย์ Charles EISENMANN  และศาสตราจารย์ René CHAPUS  เห็นว่า เปรียบเสมือนนวนิยายหรือเรื่องสมมติ (c’est la thèse du “roman”)  ส่วนศาสตราจารย์  Marcel  WALINE เห็นว่า
คำวินิจฉัยคดี
Blanco มีที่มาจากการตีความอ้างการแบ่งแยกเขตอำนาจที่ห้ามไม่ให้ศาลยุติธรรมขัดขวางการทำงานของฝ่ายปกครองหรือรับฟ้องคดีปกครอง  คดีนี้จึงไม่ได้สร้างหลักเรื่องความรับผิดของฝ่ายปกครอง (responsabilité administrative) หรือสร้างความคิดเรื่องทฤษฎีบริการสาธารณะ (doctrine du service public) แต่คดีนี้เป็นเพียงคดีที่อ้างคำว่า บริการสาธารณะ ในฐานะงานของราชการที่ก่อให้เกิดความเสียหาย
และใช้เพื่อลบล้างทฤษฎีความไม่รับผิดของรัฐเท่านั้น  (อ้างใน  “responsabilité administrative” ของ Jacques MOREAU, Que sais-je ?, 1996, p.11) ข้อวิจารณ์นี้น่าจะถือว่าเป็นที่ยอมรับกันโดยส่วนใหญ่ในหมู่นักกฎหมายมหาชนฝรั่งเศส

[31] ด้วยเหตุนี้ในคำพิพากษาคดี Blanco จึงกล่าวถึงลักษณะของความรับผิดที่จะผูกพันรัฐหรือฝ่ายปกครองว่า ความรับผิดนี้ไม่มีลักษณะทั่วไป (générale) ไม่มีลักษณะสมบูรณ์เด็ดขาด (absolue) เหมือนในทางแพ่ง  แต่เป็นกฎเกณฑ์พิเศษที่ขึ้นอยู่กับลักษณะของบริการสาธารณะแต่ละประเภท และความจำเป็นในการประสานผลประโยชน์ระหว่างรัฐกับเอกชน (ผลประโยชน์ส่วนรวมและผลประโยชน์ส่วนตัวของเอกชน) ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงลักษณะความรับผิดของรัฐในระยะแรกที่ยังไม่มีหลักเกณฑ์ทางเนื้อหาแน่นอน และเป็นเหตุผลในตัวของมันเองที่จำเป็นต้องมี กรอบ จำกัดเบื้องต้นว่า รัฐอาจมีความรับผิดในบางกรณีเท่านั้น ไม่ใช่ทุกกรณี (générale)  และแม้เรื่องที่จะต้องรับผิด
ก็อาจไม่ต้องรับผิดอย่างสมบูรณ์เด็ดขาด(absolue) เสมอไป แต่ต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆประกอบด้วย เช่น ลักษณะความยากลำบากหรือง่ายในการจัดทำบริการสาธารณะนั้น เพื่อกำหนดระดับความร้ายแรงของการกระทำว่าแค่ไหน เพียงไร จึงสมควรรับผิด  ตลอดจนประโยชน์หรือความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับรัฐหรือเอกชน หากมีการกำหนดหรือไม่กำหนดให้รัฐมีความรับผิด  ด้วยเหตุนี้ในทางทฤษฎีนักกฎหมายมหาชนฝรั่งเศสมักกล่าวว่า หลักกฎหมายความรับผิดของรัฐหรือฝ่ายปกครองมีลักษณะโดยสภาพ 2 ประการ  ประการแรก เป็นหลักกฎหมายที่เกิดจาก
คำพิพากษา
(jurisprudence)เป็นหลัก โดยมีพระราชบัญญัติต่างๆ กำหนดเสริม  ประการที่สอง มีข้อถกเถียงว่าหลักความรับผิดนี้มีลักษณะเป็นกรอบหรือนโยบายทางกฎหมาย(มากกว่าหลักกฎหมาย)ที่ได้จากคำพิพากษา (politique jurisprudentielle) หรือเป็นหลักกฎหมายในเชิงนโยบาย
ที่ได้จากคำพิพากษา  (
jurisprudence politique)

[32] CE, 4 มีนาคม 1910, Thérond.

[33] CE, 6 กุมภาพันธ์ 1903, Terrier.

[34] T. Confl., 29 กุมภาพันธ์ 1908, Feutry.

[35] De CORAIL Jean Louis “ La doctrine du service public, de la définition et de la nature du droit administratif et de la compétence du juge administratif”, Rev.adm. 1997, p.24.

[36] การกระทำทางปกครองในที่นี้ผู้เขียนใช้ความหมายอย่างกว้าง คือ รวมทั้งการกระทำฝ่ายเดียวที่มีผลทั่วไปหรือมีผลเฉพาะเจาะจงในทางปกครองและสัญญาทางปกครอง

[37] เช่น การออกกฎของฝ่ายปกครองในประเทศฝรั่งเศส

[38] CE, Ass., 17 กรกฎาคม 1967, Allegretto.

[39] CE, Sect., 13 มกราคม 1961, Magnier.

[40] T. Confl., 15 มกราคม 1968, Compagnie Air France c/ époux Barbier, GAJA, 13e éd., p.91.

[41] CE, Sect., 20 เมษายน 1956, Bertin.

[42] การแบ่งแยกสัญญาทางปกครองออกจากสัญญาทางแพ่งตามเกณฑ์การบังคับของสัญญานี้เหมาะสมกับการพิจารณาสัญญาทางปกครองประเภทการซื้อขายอุปกรณ์สำนักงานหรือการโดยสารขนส่ง

[43] T. Confl., 25 มีนาคม 1996, Berkani.

[44] CE, Sect., 4 มิถุนายน 1954, Vingtain et Affortit.

[45] CE, Sect., 8 มีนาคม 1957, Jalenques.

[46] CE, Ass., 11 พฤษภาคม 1959, Dauphin.

[47] T. Confl., 28 มีนาคม 1955, Effimieff.

[48] T. Confl., 30 กรกฎาคม 1873, Pelletier.

[49] CE, Sect., 17 เมษายน 1953, Pinguet.

[50] CE, Ass., 27 พฤศจิกายน 1970, Appert-Collin.

[51] CE, 31 พฤษภาคม 1989, Pantaloni.

[52] CE, 23 มีนาคม 1983, SA. Bureau Véritas.

[53] Concl. sur CE, 7 สิงหาคม 1909, Winkell.

[54] CE, Sect., 30 มีนาคม 1979, Secrétaire d’Etat aux universités.

[55] CE, 13 มิถุนายน 1980, Mme.Bonjean.

[56] DC., 25 กรกฎาคม 1979, Droit de grève à la radio et à la télévision

[57] Concl. sur CE, Ass., 7 กรกฎาคม 1950, Dehaene.

[58] CE, Ass., 1 เมษายน 1949, Chaveneau.

[59] CE, 6 พฤศจิกายน 1985, Ministre des transport c/ Compagnie TAT.

[60] CE, 25 มิถุนายน 1969, Vincent.

[61] ทฤษฎีเหตุที่ไม่อาจคาดหมายเกิดจากคำพิพากษาของสภาแห่งรัฐ; CE. 30 มีนาคม 1969, Compagnie générale d’éclairage de Bordeaux  .

[62] โดยนัยนี้ผู้รับสัมปทานจึงไม่สามารถอ้างเหตุบอกเลิกสัญญาเนื่องจากวัตถุประสงค์ของสัญญาไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปได้ ตามหลักในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

[63] CE, 7 สิงหาคม 1909,Winkell.

[64] CE, Ass., 7 กรกฎาคม 1950, Dehaene.

[65] DC., 25 กรกฎาคม 1979, Droit de grève à la radio et à la télévision.

[66] Loi n° 63-777, 31 กรกฎาคม 1963.

[67] Loi n° 70-1318, 31 ธันวาคม 1970.

[68] Loi n° 84-1286, 31 ธันวาคม 1984.

[69] Loi n° 86-1067, 30 กันยายน 1986.

[70] CE, Ass., 4  กุมภาพันธ์ 1966, Syndicat National des fonctionnaires du groupement des contrôles radio-électriques.  

[71] CE, Sect., 11 กุมภาพันธ์ 1966, Legrand .

[72] CE, Sect., 26 ตุลาคม 1967, Le Moult.

[73] CE, 18 กุมภาพันธ์ 1955, Bernot.

[74] CE. Ass., 18 มกราคม 1980, Syndicat CFDT des P et  T du Haut-Rhin.

[75] DC., 28 กรกฎาคม 1987.

[76] CE, Ass.,4 กุมภาพันธ์ 1966, Syndicat Unifier des techniciens de la RTF.

[77] CE, 29 ธันวาคม 1911.

[78] CE, Sect., 9 มีนาคม 1951, Société des concerts du conservatoire.

[79] หลักความเสมอภาคในทางเนื้อหา égalité matérielle มุ่งแสดงถึงคุณสมบัติหรือลักษณะของสิ่งที่ถูกพิจารณากับเกณฑ์ที่ถูกกำหนดไว้ว่า สิ่งที่เหมือนกันย่อมอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกันจะถูกปฏิบัติหรือใช้บังคับกับกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไม่ได้ และสิ่งที่แตกต่างกันย่อมอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ต่างกัน จะถูกปฏิบัติหรือบังคับใช้กับกฎเกณฑ์เดียวกันไม่ได้

[80] CE, Ass., 28 พฤษภาคม 1954, Barel.

[81] CE, Sect., 10 พฤษภาคม 1974, Denoyez et Chorques.

[82] CE, 22 กรกฎาคม 1992, Union syndicale de la propriété immobilière

[83] CE, Sect., 10 พฤษภาคม 1974, Denoyez et Chorques.

[84] CE, Sect., 5 ตุลาคม 1984, Commune de la République de l’Ariège.

[85] CE, Sect., 13 พฤษภาคม 1994, Commune de Dreux.

[86] CE, 20 มกราคม 1989, Centre communal d’action sociale de la Rochelle: CE. Sect., 29  ธันวาคม 1997, Communes de Gennevilliers et de Nanterre (ใช้กับโรงเรียนสอนดนตรี)

[87] G. Gonzalez “Le service public local: à quel prix ?” LPA 5 ธันวาคม 1997, p.13. ; LONG Marceau “Principe d’égalité et tarification des services publics locaux” LPA 15 พฤษภาคม 1995, p.4

[88] CC.,18 กันยายน 1986, Liberté de communication .

[89] CE, 3 พฤษภาคม 1950, Dlle Jamet.

[90] CE, 8 พฤศจิกายน 1985, Ministre de l’Education nationale c/ M. Rudent โปรดดู G. Koubi “Le principe de neutralité des services publics ; un principe corollaire de la modernisation de l’Etat”Rev.adm.1992, p.490, Rev.adm. 1993, p.9.

[91] LACHAUME Jean François , C. BOITEAU, H. PAULIAT, “Grand service public” Armand Colin 2000, p. 372.

[92] Avis CE, 27 พฤศจิกายน 1989.

[93] Bayrou คือชื่อนักการเมืองที่ออกหนังสือเวียนนี้ในขณะที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ

[94] CE, 2 พฤศจิกายน 1992, Kherouaa.

[95] CE, 14 เมษายน 1995, Koen et Conservatoire central des israélites de France.

[96] CE, 10 มีนาคม 1995, Epoux Aoukili.

[97] เนื่องจากบริการสาธารณะมุ่งตอบสนองความต้องการส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะ แต่ความต้องการส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะเป็นสิ่งที่มีความหลากหลายตามเวลา และเมื่อพิจารณาถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีหรือการเจริญเติบโตของประชากรซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่มากขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ การปรับเปลี่ยนดังกล่าวจึงเป็นเหตุผลโดยสภาพ(ข้อเท็จจริง)ที่จะทำให้บริการสาธารณะเกิดขึ้น ยุบ เพิ่ม ยกเลิก หรือปรับเปลี่ยนตัวของมันเอง

[98] CE, 25 juin 1969, Vincent (เกี่ยวกับการปรับปรุงเวลาทำงานของที่ทำการไปรษณีย์).

[99] ศาลจะพิจารณาว่า การพิจารณาปรับบทกฎหมายในเรื่องนี้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎหมายหรือไม่ การปรับบทนี้สามารถที่จะมีดีกรีหรือระดับที่แตกต่างกันได้ว่าอย่างไรเป็นการให้สิทธิผู้ใช้บริการตามมาตรฐานของบริการแล้ว โดยวัดระดับการพิจารณาของฝ่ายปกครองเทียบกับระดับของวิญญูชนธรรมดาทั่วไป (เพราะฝ่ายปกครองก็คือคนธรรมดาทั่วไปเช่นเดียวกับวิญญูชน)  หากวิญญูชนทั่วไปตัดสินหรือพิจารณาเรื่องนี้ได้หลายทาง และฝ่ายปกครองก็พิจารณาได้ทางใดทางหนึ่งเช่นเดียวกับที่วิญญูชนนั้นพิจารณา ก็ถือว่าฝ่ายปกครองนั้นพิจารณาชอบด้วยกฎหมายที่ให้อำนาจ  ในทางตรงกันข้าม หากฝ่ายปกครองพิจารณาออกนอกแนวทางต่างๆที่วิญญูชนทั่วไปอาจจะพิจารณาได้ ย่อมถือว่า ฝ่ายปกครองพิจารณาใช้อำนาจของตนเองขัดต่อกฎหมายอย่างชัดแจ้ง เพราะแม้แต่วิญญูชนทั่วไปซึ่งไม่ได้ศึกษากฎหมายพิจารณาเรื่องนี้แล้ว ยังไม่กระทำการเช่นนั้นเลย ฝ่ายปกครองซึ่งเป็นวิญญูชนคนหนึ่งกลับกระทำการเกินเลยจากขอบของวิญญูชน จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายอย่างชัดแจ้ง.

[100] CE, 25 juin 1969, Vannier ; CE, Sect., 18 พฤษภาคม 1977, Chambre de commerce de La Rochelle (เกี่ยวกับการยกเลิกเส้นทางการบิน).

[101] CE, Sect., 25 มิถุนายน 1948, Société du journal l’Aurore.

[102] CE, 10  มกราคม 1902, Gaz de Deville-lès-Rouen.

[103] DC., 16 มกราคม 1982, Nationalisations .

[104] ความจำเป็นของการอยู่ร่วมกันและการแข่งขันกันระหว่างองค์กรเอกชนและองค์กรมหาชนมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ในฝรั่งเศสเองได้ยอมรับหลักการข้างต้น ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างเรื่องเสรีภาพในการสอนและการศึกษา การอยู่ร่วมกันขององค์กรเอกชนและองค์กรมหาชน ทำให้มีการจัดตั้งองค์กรในการจัดทำการสอนและการศึกษาทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ  หรือในเรื่องสิทธิเรียกร้องที่มีต่อรัฐตามรัฐธรรมนูญ ปี 1946 ซึ่งยอมรับ การดำเนินการของเอกชนในการสนับสนุนหรือเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่ภาครัฐในเรื่องของสุขภาพและการคุ้มครองสังคม.

[105] DC., 25-26 มิถุนายน 1986, Privatisations.

[106] T. Confl., 6 มิถุนายน 1989, Préfet de la région Île-de-France c/ Ville de Pamiers.

[107] CE, Sect., 3 พฤศจิกายน 1997, Société Million et Marais.

[108] D.C., 12 กรกฎาคม 1979, Ponts à péage.

[109] CE, 5 ธันวาคม 1984, Ville de Versailles c/ Lopez.

[110] เพิ่งอ้าง.

[111] มาตรา L. 2321-2, 7° Code général des collectivités territoriales.

[112] CE, Ass., 28 มกราคม 1972, Conseil transitoire de la faculté de lettres et des sciences humaines.

[113] CE, 10 ธันวาคม 1993, Université de Lyon III.

[114] CE, 30 กันยายน 1996, Société Stéphanoise des eaux.

[115] HERTZOG R., “Le prix du service public” AJDA. 1997, n° spécial, p.55.

[116] CE, 21 ตุลาคม 1988, SNTA.

[117] CE, 20 ธันวาคม 1969, Commune de Neville-la-Forêt.

[118] CE, 23 พฤศจิกายน 1955, Syndicat du commerce en gros de la boucherie de Bordeaux, โปรดดู BLACHER Philippe “Le contrôle par le juge administratif de la tarification des services publics” Revue française finance publiques, 2000, p.175.

 

คลิ๊กเพื่อไปอ่านตอนที่ 2 ปัญหาของข้อความคิด แนวทางการใช้ และระบบกฎหมายของทฤษฎีบริการสาธารณะ

 

 

(คลิ๊กเพื่อโหลดอ่านด้วย PDF ไฟล์)

คลิ๊กเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ

(กลับไปข้างบน) /(กลับไปหน้าแรก) / (กลับไปสารบัญบทความ)

 

สงวนลิขสิทธิ์ © 2003 
งานเขียนแต่ละชิ้นเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนแต่ละท่าน