|
|||||||||
|
|||||||||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() สภาพอากาศประจำวัน ![]()
ที่
Aix-en-Provence
การติดต่อที่จำเป็น ลิงค์เพื่อนบ้าน |
|
ปกป้อง ศรีสนิท
พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ประกาศใช้เมื่อ
16
กรกฎาคม
2548
มาถึงปัจจุบันก็เป็นเวลาสามเดือนกว่าแล้ว สาระสำคัญคือการแก้ไขและรวบรวมกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆที่กระจัดกระจายมาไว้ในกฎหมายฉบับเดียวกัน
โดยที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการออกพระราชกำหนดดังกล่าวเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาสามจังหวัดภาคใต้ที่เป็นปัญหาอยู่
ข้อเขียนนี้ถูกเขียนขึ้นเพราะความไม่สบายใจอันเนื่องมาจากการได้อ่านข่าวการสำรวจความเห็นของหน่วยงานแห่งหนึ่งที่เข้าไปสัมภาษณ์ชาวบ้านในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้เกี่ยวกับการบังคับใช้พระราชกำหนดในพื้นที่
คำตอบส่วนใหญ่ที่ได้คือ “ชาวบ้านไม่รู้ว่าพระราชกำหนดคืออะไร
แต่รู้อย่างเดียวว่าเจ้าหน้าที่ทำอะไรแล้วไม่ผิด”
สิ่งที่ชาวบ้านพูดถึงนั้นคือมาตรา
17
ของพระราชกำหนด ซึ่งชาวบ้านไม่ผิดที่จะเข้าใจเช่นนั้น เพราะชาวบ้านเข้าใจตามสื่อ
สื่อที่ออกมาในระยะแรกก็ออกข่าวทำนองเช่นนั้น
ไม่ว่าจะเป็นการไม่ตั้งใจของสื่อเพราะอ่านกฎหมายไม่ครบถ้วน
หรือตั้งใจเพื่อให้เป็นข่าวในการสัมภาษณ์คนในรัฐบาล
แต่การที่สื่อออกมาในลักษณะดังกล่าวเป็นการตอกย้ำกระแสความไม่เข้าใจกันระหว่างชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่
ซึ่งเป็นเงื่อนไขเดิมๆที่ทำให้เกิดความรุนแรงและความไม่สงบในพื้นที่
และเป็นช่องทางให้ผู้ก่อการร้ายนำไปปลุกระดมมวลชนเพื่อทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นอีก
แต่หากผู้ใดได้อ่านพระราชกำหนดให้ครบถ้วน โดยเฉพาะมาตรา
17
แล้วจะพบว่ามาตราดังกล่าว เป็น
“พระเอก”
ที่กำลังถูกมองเป็น “ผู้ร้าย”
อย่างน่าเสียดาย
มาตรา
17
บัญญัติว่า
“พนักงานเจ้าหน้าที่และผู้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดนี้ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง
ทางอาญา หรือทางวินัย
เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ในการระงับหรือป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย
หากเป็นการกระทำที่สุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ
และไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่เกินกว่ากรณีจำเป็น
แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่”
หากอ่านไม่ครบถ้วนกระบวนความก็จะคิดไปได้ว่า มาตรานี้สร้างเกราะวิเศษให้เจ้าหน้าที่
ด้วยเกราะวิเศษนี้หากเจ้าหน้าที่ไปตีหัวชาวบ้านแล้วจะไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น
ซึ่งความเป็นจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่
หากอ่านให้ครบแล้วจะพบว่ามาตรานี้ไม่ได้สร้างเกราะป้องกันเจ้าหน้าที่เพิ่มขึ้นจากแต่เดิมอย่างไร
ในทำนองกลับกันมาตรานี้ได้เพิ่มสิทธิบางอย่างให้ประชาชนมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ที่ว่าหลักเรื่องความรับผิดของเจ้าหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปนั้น
เพราะเหตุว่าเจ้าหน้าที่ที่ไม่ต้องรับผิดตามมาตรา
17
จากการกระทำของตนเองนั้นต้องเข้าองค์ประกอบสองประการพร้อมกันคือ หนึ่ง
เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในการระงับเหตุหรือป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย สอง
ต้องเป็นการกระทำโดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่เกินสมควรแก่เหตุ
หรือไม่เกินกว่ากรณีจำเป็น
ดังนั้นหากเจ้าหน้าที่ไปรังแกชาวบ้านด้วยเรื่องส่วนตัว
ก็เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดทั้งทางอาญา ทางแพ่ง ทางวินัย
เต็มตัวตามหลักกฎหมายทั่วไปอยู่แล้ว หากพิจารณาตามมาตรา
17
ก็เห็นสอดคล้องกันว่าเจ้าหน้าที่ต้องรับผิด เป็นเรื่องนอกเหนือมาตรา17
เพราะไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ในการระงับเหตุหรือป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย
ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ไล่จับผู้ร้าย
ตามหลักที่มีอยู่แล้วนั้นเจ้าหน้าที่ใช้กำลังได้เท่าที่จำเป็นเพื่อมิให้ผู้ร้ายหนี
หากมีการยิงต่อสู้กัน แม้เจ้าหน้าที่เจตนาฆ่าผู้ร้าย
แต่เจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิด เพราะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่เกินสมควรแก่เหตุ
เนื่องจากใช้อาวุธปืนทั้งคู่ กรณีจะกลับตาลปัตร ถ้าคนร้ายไม่มีอาวุธ
แล้วเจ้าหน้าที่ยิงคนร้ายตายในการไล่จับกุม กรณีนี้แม้เป็นการปฏิบัติหน้าที่
แต่เจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ ก็ต้องรับผิดทั้งทางอาญา ทางแพ่ง และทางวินัย
ซึ่งทั้งกรณี แม้ไม่เขียนมาตรา
17
ไว้ ก็ใช้หลักกฎหมายทั่วไปที่มีอยู่ปรับใช้ได้อยู่แล้ว
แล้วทำไมต้องบัญญัติมาตรา
17
ขึ้นมาทั้งๆที่ไม่ได้เปลี่ยนหลักความรับผิด เท่าที่เห็นน่าจะมีสองประการคือ
ประการที่หนึ่งน่าจะเป็นการวางกรอบที่ชัดเจนขึ้นให้ผู้ปฏิบัติงานได้ทราบอย่างชัดเจนว่า
หากปฏิบัติงานอยู่ในกรอบที่ว่านี้จะไม่ต้องรับผิดส่วนตัว
หากทำนอกกรอบก็จะต้องรับผิดทั้งหมดจากการกระทำของตน ประการที่สอง
น่าจะเป็นการเสริมขวัญกำลังใจในการทำงาน โดยการเขียนนำว่า
“เจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิด
หาก...”
หากเขียนอีกอย่างว่า “เจ้าหน้าที่ต้องรับผิด
ถ้าปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เลือกปฏิบัติ เกินสมควรแก่เหตุ...)
ผลทางกฎหมายไม่ต่างกัน แต่ผลทางจิตวิทยาจะต่างกันอย่างมาก
การเขียนแบบหลังอาจทำให้เจ้าหน้าที่หมดขวัญกำลังใจในการทำงาน
และไม่กล้าที่จะตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ที่ว่ามาตรา
17
เป็นพระเอกเพราะมาตรานี้ได้เพิ่มสิทธิให้ประชาชนเพิ่มขึ้นคือในตอนท้ายที่ว่า
“...แต่ไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายจะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการ....”
ถ้อยคำดังกล่าวถือว่าเป็นการรับรองสิทธิไม่ว่าจะเป็นการรับรองเชิง
“วิธีการเรียกค่าเสียหาย”
หรือการรับรองเชิง “เนื้อหาแห่งสิทธิ”
ก่อนใช้พระราชกำหนด
หากเจ้าหน้าที่ได้กระทำการอยู่ในกรอบซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิดแล้ว
ประชาชนผู้เสียหายนั้นไม่มีทางเรียกร้องค่าเสียหายได้
เพราะไม่เข้าหลักเรื่องความรับผิดทางละเมิด หากปรับใช้มาตรา
17
แม้เจ้าหน้าที่กระทำอยู่ในกรอบซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิด
แต่ประชาชนผู้เสียหายยังคงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากรัฐได้โดยอ้างตอนท้ายของมาตรา
17
หากมองว่ามาตรา 17
เป็นเพียงแค่การรับรอง “วิธีการ”
ไม่ได้รับรอง “สิทธิ”
ก็ยังเป็นนิมิตหมายอันดีของการออกกฎหมายให้ประชาชนผู้เสียหายจากกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐได้รับการเยียวยาแม้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้กระทำจะไม่มีความรับผิด
เมื่อพระเอกกำลังถูกกล่าวหาเพราะสื่อ วิธีแก้ไขก็น่าจะใช้การย้อนรอยกลับ
ทางการต้องทำความเข้าใจกับประชาชนโดยใช้สื่อนำความเข้าใจที่ถูกต้องกลับไปสู่ประชาชน
ความหวาดระแวงไม่เข้าใจกันระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่นั้นมีทั้งในแง่
“เนื้อหากฎหมาย”
และ “วิธีการเข้าถึงความยุติธรรม”
หากทำความเข้าใจมาตรา 17
ให้ดี
ความเข้าใจผิดเรื่องเนื้อหาก็น่าจะลดลงไป
เมื่อประชาชนเข้าใจแล้วว่าเจ้าหน้าที่ก็ต้องรับผิดอยู่หากกระทำ
“นอกกรอบ”
ของกฎหมาย ถ้าความหวาดระแวงจะยังมีอยู่ในเชิงวิธีการเข้าถึงความยุติธรรม
ด้วยความกลัวที่ว่าทางราชการจะเข้าข้างกันทำให้เจ้าหน้าที่ทำผิดแล้วหลุดลอย
ทำให้ประชาชนไม่กล้าที่จะแจ้งความฟ้องคดีเมื่อตนคิดว่าถูกเจ้าหน้าที่รังแก
ในเรื่องนี้ กรรมการสมานฉันท์นอกจากจะทำงานเชิงนโยบายแล้ว
น่าจะมีบทบาทในเชิงรุกเพื่อแก้ปัญหาความไม่เข้าใจเชิงวิธีการนี้ด้วย
เช่นการสร้างศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ที่เป็นกลางในพื้นที่ที่ประกอบด้วยคนที่ชาวบ้านไว้ใจ
เป็นที่พึ่งของชาวบ้านในกรณี่ที่ชาวบ้านมีปัญหากับเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยในการไกล่เกลี่ยกับเจ้าหน้าที่หรือแม้แต่ช่วยดำเนินคดีในศาลหากจำเป็น
การสร้างศูนย์ดังกล่าวเป็นการช่วยให้ประชาชนได้เข้าถึงความยุติธรรมตามกฎหมายได้ดีขึ้น
เมื่อกระบวนการทั้งหมดเข้าสู่ระบบของกฎหมาย ความเป็นธรรมเกิดขึ้น
ความเข้าใจผิดและหวาดระแวงกันก็น่าจะลดลงไม่มากก็น้อย ปัญหาสามจังหวัดภาคใต้ยังคงเป็นเรื่องใหญ่และแก้ไขยากปัญหาหนึ่ง ขอให้กำลังใจทุกฝ่ายที่ช่วยกันแก้ปัญหา ขอไว้อาลัยให้ผู้เสียชีวิต และขอให้เหตุการณ์สงบโดยเร็วเถิด
(กลับไปหน้าแรก) / (กลับไปสารบัญบทความ)
สงวนลิขสิทธิ์ © 2003
ตั้งแต่ 6 ตุลาคม 2546 (version 2 เริ่ม 26 มีนาคม 2547)
|