ศัพท์กฎหมายฝรั่งเศส

Internet pour le droit

เรื่องอยากเล่า

Salon d'Aix

 webboard

คุยกับดอกแก้ว

จดหมายเหตุ


ดู TV ฟังวิทยุ อ่าน นสพ.
การ Set เพื่อพิมพ์ไทย
โทรกลับไทย IRADIUM
โทรกลับไทย Telerabais

ที่ตั้งและแผนที่ Aix
การเดินทางและตารางรถ

ตารางรถประจำทางใน AIX
ตารางรถไป Marseille และ Plan de campagne
ตารางรถPays d'Aix ไป Plan
    สภาพอากาศประจำวัน
    ที่ Aix-en-Provence


Webboard

Thaiaixois Gallery
ศัพท์กฎหมายฝรั่งเศส
Internet pour le droit
เรื่องอยากเล่า (วิชาการ)
สภากาแฟ Salon d'Aix
คุยกับดอกแก้ว
จดหมายเหตุ
ส่ง e-cartes  virtuelles d'Aix-en-Provence

(กระทู้)การขอทุนเรียนที่ฝรั่งเศส

การปรับหลักสูตรมหาวิทยาลัยของฝรั่งเศส

คู่มือศึกษาต่อในประเทศฝรั่งเศส (โดยสารสนเทศการศึกษาต่อต่างประเทศ)

คู่มื่อเลือกมหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส( Guide Lamy des 3es cycles)

โรงเรียนสอนภาษาฝรั่งเศส IEFEE


มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในฝรั่งเศส

มหาวิทยาลัยใน Aix
Université de Provence 
Université de la Mediterranee

Université Paul Cézanne (Universitéde Droit, d'Economie et des Sciences d'Aix-Marseille3)

สถาบันศึกษาอื่น


ที่พักอาศัย
 - ที่พักของมหาวิทยาลัย
( CROUS)

ที่พักของเอกชน
 
- (Estudines)
 
-  (Citadine)  
 -
หาที่พักกับ adele.org
 - หาที่พักกับ office de tourisme
 - พักที่บ้านพักเยาวชน(Auberge de jeunesse)

การขอเงินช่วยเหลือค่าที่พัก(CAF)


การติดต่อที่จำเป็น

การติดต่อขอใบอนุญาตพักอาศัยในประเทศ(Carte de sejour)
 - เอกสารที่ต้องใช้ 1/ 2 /3
 - ติดต่อ
Prefecture des Bouches-du-Rhone
 - (กระทู้Thaiaixoisที่เกี่ยวข้อง)

การประกันสุขภาพ
 - การติดต่อประกันสุขภาพ
Securite sociale)
 - MEP ประกันสุขภาพของนักเรียน(อายุไม่เกิน 25 ปี)
 - Assurance étudiant (อายุไม่เกิน 40 ปี)

อื่น ๆ
 - การทำงานนอกเวลา
 - การต่ออายุหนังสือเดินทาง


ลิงค์เพื่อนบ้าน
Thai Law Reform
สมาคมนักเรียนไทยในรั่งเศส
เพื่อนไทยในเกรอนอบ
เพื่อนไทยในตูลูส
เพื่อนไทยในลียง

ABC-Bittorrent Client โดย pingpong
เพื่อนไทยในเบลเยี่ยม
สำนักงานผู้ดูแลนักเรียนฯ
เล่าข้ามฟ้ากับนาย Baguette
Pokpong's
Nujern's homepage
Café Lunar

Cafe Lunar สาขา 2
Le Journal de TAUNG
Artsstudio

 

 

เศรษฐศาสตร์การเมืองของการใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจ

                                                      โดย เกรียงศักดิ์  ธีระโกวิทขจร

 

คลิ้กเพื่อโหลดไฟล์ PDF

คลิ้กเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ

    

1. บทนำ

 

[Economics is] a difficult and technical subject, but nobody will believe it”

                                                                                    John Maynard Keynes.

 

ในบรรดาศาสตร์แขนงต่างๆ ศาสตร์ที่ถือว่ามีความเกี่ยวพันกับชีวิตประจำวันของเราอย่างลึกซึ้ง แต่ยังเป็นสิ่งลึกลับมืดดำสำหรับคนส่วนใหญ่ คงไม่พ้นสาขาเศรษฐศาสตร์ ทั้งที่ความรู้ด้านนี้เกิดขึ้นอยู่คู่กับเรานับแต่เริ่มจัดรูปแบบสังคมเป็นชุมชน และมีการแลกเปลี่ยนระหว่างกันก็ว่าได้

 

หรือถ้าจะนับระยะเวลาตั้งแต่สาขาเศรษฐศาสตร์ได้วางตำแหน่งของตนอย่างเป็นทางการในหน้าประวัติศาสตร์ คือ เมื่อมีตำราเศรษฐศาสตร์เล่มแรก อย่างเป็นทางการ โดย อดัม สมิท (Adam Smith) ในปี 1776 (พ.ศ. 2319) จนกระทั่งปัจจุบันก็เป็นเวลา 228 ปี ซึ่งถือว่าเศรษฐศาสตร์ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในประเด็นของการก่อตัวของแนวคิดหลักแล้ว นักเศรษฐศาสตร์เองอาจกล่าวว่าความรู้แขนงนี้ได้วางฐานรากอย่างมั่นคงในฐานะศาสตร์ที่เป็นหนึ่งในเสาหลักของการพัฒนามาไม่นานเท่าใดนัก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เศรษฐศาสตร์ยังคงเป็นแดนสนธยาสำหรับคนนอก

 

หากเราถือปลายศตวรรษที่ 18 เป็นช่วงเวลาแห่งการประกาศตัวต่อสาธารณะครั้งแรกของเศรษฐศาสตร์แล้ว ก็เป็นเวลาอีกเกือบหนึ่งศตวรรษต่อมา หรือจวบจนกระทั่งกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 จึงเกิดการโต้แย้งและวิพากษ์เศรษฐศาสตร์ว่าละเลยต่อปัญหาและสภาพความเป็นจริง รวมทั้งมีความเป็นนามธรรมสูง จนกระทั่งเกิดการตื่นตัวอย่างกว้างขวางในการประยุกต์ทฤษฎีเศรษศาสตร์เข้ากับปัญหาร่วมสมัย ถึงแม้จะมีนักเศรษฐศาสตร์บางกลุ่ม ที่ยังคงสนับสนุนจุดยืนของเศรษฐศาสตร์ว่าไม่ควรเกี่ยวข้องกับปัญหาในทางปฏิบัติ และมีหน้าที่เพียงแต่แสดงความคิดเห็นตามหลักการเท่านั้น

 

จนกระทั่งในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 นั่นเอง ที่ได้ปรากฎเครื่องมือในการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ที่ช่วยสร้างความเป็นรูปธรรมมากขึ้น นั่นคือการวิเคราะห์โดยใช้คณิตศาสตร์เข้ามาสนับสนุนการอธิบายต่างๆ ประกอบกับแนวความคิดเรื่อง อรรถประโยชน์ และแนวความคิดแบบ หน่วยสุดท้ายที่เป็นพื้นฐานของการอธิบายปรากฎการณ์ทางเศรษฐศาสตร์ในขณะนั้น  ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ในปัจจุบัน โดยมีวิวัฒนาการผ่านความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์สวัสดิการและการวิเคราะห์สมดุลทั้งระบบ

 

ในศตวรรษที่ 20 นักเศรษฐศาสตร์อเมริกันได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น จนได้รับการยอมรับว่าเป็นศาสตร์ในสาขาสังคมศาสตร์อย่างเต็มตัว ในขณะเดียวกัน ก็ได้เกิดสำนักความคิดสำคัญที่เรียกว่า สำนักเศรษฐศาสตร์สถาบัน (Institutional Economics) ที่ศึกษาปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจโดยผ่านพฤติกรรมของสถาบันทางเศรษฐกิจและสังคมและสมาชิกของสถาบันดังกล่าว สำนักเศรษฐศาสตร์สถาบันนี้ ได้ท้าทายแนวความคิดเดิม ซึ่งมีรากเง้ามาจากเศรษฐศาสตร์ของอังกฤษและยุโรป ที่ว่าเศรษฐศาสตร์เป็นเพียงกรอบรองรับตรรกะและปรัชญา และไม่ได้มุ่งที่จะแสวงหาวิธีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริง นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์สถาบันสนับสนุนให้รัฐเข้ามามีบทบาทในการแทรกแซงหรือดำเนินการต่างๆ เช่น การคุ้มครองและชดเชยด้านสวัสดิการ เนื่องจากเชื่อว่า ระบบเศรษฐกิจภายใต้การแข่งขันเสรีมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบจากกลุ่มนายทุน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาความยากจน

 

นักเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญของสำนักคิดนี้ ได้แก่ ทอร์สไตน์ เวเบลน (Thorstein Veblen, 1857-1929เวสลีย์ แคลร์ มิทเชลล์ (Wesley Clair Mitchell, 1857-1929)  จอห์น อาร์ คอมมอนส์ (John R. Commons, 1862-1945)  เคนเนท เจ แอร์โรว์ (Kenneth J. Arrowโรนัลด์ โคส (Ronald Coase) และเจมส์  แมคกิลล์ บุคานัน (James McGill Buchanan)

 

เคนเนท แอร์โรว์ ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1972 (พ.ศ. 2515) ร่วมกับ เซอร์ จอห์น ฮิคส์ (Sir John Hicks) ในผลงานทฤษฎีความสมดุลทางเศรษฐกิจทั้งระบบและทฤษฎีเศรษฐศาสตร์สวัสดิการ ซึ่งเคนเนท แอร์โรว์ ได้มีส่วนในการพัฒนาทฤษฎีอื่นๆ รวมทั้งทฤษฎีว่าด้วยการตัดสินใจ  ขณะที่โรนัลด์ โคส ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1991 (พ.ศ. 2534) จากผลงานเกี่ยวกับต้นทุนการทำธุรกรรมและสิทธิในทรัพย์สินสำหรับโครงสร้างสถาบันและการดำเนินงานของระบบเศรษฐกิจ

 

เจมส์   บุคานัน ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลในปี 1986 (พ.ศ. 2529) จากผลงานเกี่ยวกับทฤษฎีการตัดสินใจทางการเมืองและเศรษฐศาสตร์สาธารณะได้ขยายขอบเขตและขีดความสามารถของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักในการอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น โดยครอบคลุมมิติทางสังคมและการเมือง และไม่ละเลยต่อประเด็นเรื่องการตัดสินใจทางการเมืองซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญในปัจจุบันที่การกำหนดว่ารัฐจะเลือกใช้หรือไม่ใช้มาตรการใดทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ก็พยายามยืนยันจุดยืนว่าเป็นแนวทางเชิงวิธีการ ซึ่งมีความเป็นวิทยาศาสตร์ในแง่ที่มุ่งอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงสาเหตุที่อยู่เบื้องหลัง โดยปราศจากอคติด้านศีลธรรม จริยธรรม และปรัชญา ที่ตัดสินว่าสิ่งใดถูกหรือผิด

 2. การพัฒนาจากเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก

         

เป้าหมายของนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ที่รัฐบาลใดๆ พึงปรารถนา ได้แก่ ระดับการจ้างงานเต็มที่ เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ระดับราคาภายในประเทศมีเสถียรภาพและดุลยภาพของภาคเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

 

2.1 ข้อจำกัด

 

ในการวิเคราะห์ตามเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก นักเศรษฐศาสตร์จะศึกษาและตอบปัญหาเชิงเทคนิคว่าเครื่องมือใดจะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุดที่จะบรรลุเป้าหมายของนโยบายเศรษฐกิจมหภาคตามที่ได้แสดงข้างต้น เนื่องจากในการวิเคราะห์ตามวิธีของกระแสหลัก ได้มีการกำหนดสมมติฐานเบื้องหลังไว้หลายประการ อาทิ

1)      ผู้ทำการตัดสินใจทางการเมืองจะแสวงหาประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ

2)      ผู้ตัดสินใจทางการเมืองมีเครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบความพึงพอใจของประชาชนแต่ละกลุ่มต่อเป้าหมายดังกล่าว

3)      การตัดสินใจทางการเมืองจะพิจารณาจากผลที่ได้จากการวิเคราะห์ตามหลักเศรษฐ-ศาสตร์

 

การกำหนดสมมติฐานเหล่านี้ ทำให้เกิดข้อดีคือ นักเศรษฐศาสตร์มีอิสระอย่างเต็มที่ภายใต้กรอบของหลักการเชิงอุดมคติ ในการวิเคราะห์ปัญหาทางเศรษฐศาสตร์ และแสวงหาวิธีการทางเทคนิคเพื่อตอบสนองหลักการนั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการพัฒนาความรู้ตามแนวคิดเชิงวิธีการ โดยนักวิชาการสายเศรษฐศาสตร์สถาบันหรือสำนักทางเลือกสาธารณะ ที่มองเห็นจุดอ่อนของทฤษฎี เพื่อพยายามแสวงหากรอบแนวคิดใหม่ที่จะผ่อนปรนกติกาเดิมที่เข้มงวด เป็นอุดมคติมากเกินไป และไม่สามารถอธิบายสิ่งที่พบเห็นในโลกแห่งความเป็นจริงได้

 

2.2 มิติทางการเมืองและสังคมของนโยบายเศรษฐกิจ

 

          หากพิจารณาเป้าหมายของนโยบายเศรษฐกิจมหภาคทั้ง 4 ประการอย่างถี่ถ้วน จะพบว่า การไปสู่เป้าหมายข้อใดข้อหนึ่งมักจะก่อให้เกิดความข้อแย้ง ซึ่งล้วนนำไปสู่การตัดสินใจ เช่น เมื่อรัฐต้องการบรรลุเป้าหมายเกี่ยวกับเสถียรภาพของระดับราคา กล่าวคือ ต้องการรักษาระดับเงินเฟ้อในระบบเศรษฐกิจไม่ให้สูงจนเกินไปนัก ในขณะที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เครื่องมือที่นำมาใช้ ย่อมจะก่อให้เกิดการชะลอตัวลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีผลในทางลบต่อระดับการจ้างงานและชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจในขณะนั้น หรือในกรณีตรงกันข้าม มาตรการที่มีผลต่อการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะส่งผลให้ระดับเงินเฟ้อสูงขึ้นและรบกวนความสมดุลของภาคเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยผ่านทางอัตราดอกเบี้ย และอัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น

 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง การไปสู่เป้าหมายทางเศรษฐกิจแต่ละเรื่อง โดยใช้มาตรการต่างๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อกลุ่มต่างๆ ภายในสังคมในทิศทางและความเข้มข้นที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น  ช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตและมีระดับเงินเฟ้อสูงขึ้น ผู้มีรายได้ประจำเช่น ข้าราชการประจำหรือข้าราชการบำนาญ จะเสมือนกับจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น เนื่องจากอำนาจซื้อของเงินในการใช้จ่ายลดลง ในขณะที่เป็นผลดีต่อนักธุรกิจหรือเจ้าของกิจการ ส่วนพนักงานบริษัทเอกชนที่ได้รับการปรับเงินเดือนอย่างสม่ำเสมอ จะได้รับการชดเชยจากเงินเดือนที่สูงขึ้น เนื่องจากบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น (กลุ่มนี้ อาจได้รับความพึงพอใจสูงขึ้นจากการปรับเงินเดือน หากไม่ได้เอาใจใส่หรือไม่รู้สึกว่ากำลังซื้อของตนลดลง) เป็นต้น

 

ดังนั้น ความพึงพอใจของแต่ละกลุ่มอาชีพต่อเป้าหมาย/ นโยบาย/ เครื่องมือทางเศรษฐกิจแต่ละเรื่องจึงแตกต่างกันไปตามผลกระทบหรือผลประโยชน์ที่ตนจะได้รับ แน่นอนว่านโยบายหรือเครื่องมือที่จะถูกนำมาใช้จะต้องสามารถตอบสนองความพึงพอใจของสังคม อย่างไรก็ตาม กลุ่มอาชีพหรือกลุ่มผลประโยชน์ที่รวมตัวกันอย่างเข้มแข็งหรือมีการจัดองค์กรอย่างเป็นระบบ (เช่น สมาคมการค้า หอการค้า) ก็ย่อมสามารถสื่อสารถึงความต้องการและความคิดเห็นต่อนโยบายและมาตรการได้ชัดเจนกว่ากลุ่มอื่นที่ขาดการรวมตัว ในบางกรณี อาจได้รับการพิจารณาเป็นเสมือนเสียงสะท้อนจากสังคม

 

นอกจากนี้ ในมิติที่กว้างขึ้น กลุ่มในที่นี้อาจไม่ได้จำกัดอยู่เพียงกลุ่มอาชีพ เนื่องจากนโยบายและมาตรการของรัฐมีหลายระดับ เช่น นโยบายที่ใช้ในส่วนกลางและท้องถิ่น หรืออาจเป็นมาตรการเฉพาะสาขาอุตสาหกรรม ดังนั้น ความขัดแย้งในมิติของการเมืองและสังคมสามารถเกิดขึ้นหลายระดับเช่นกัน

 

ประการต่อมา ความพึงพอใจหรืออรรถประโยชน์ไม่ได้เกิดจากความกินดีอยู่ดีซึ่งเกิดขึ้นจากการบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจตามแนวคิดกระแสหลักเท่านั้น คนในปัจจุบัน โดยเฉพาะในสังคมที่เจริญขึ้น มีความต้องการปัจจัยอื่นๆ มากขึ้นในการดำรงชีวิต เช่น ความสงบปลอดภัยของชุมชนที่อาศัยอยู่ การพักผ่อนหย่อนใจยามว่าง สิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และความเป็นธรรมในสังคม เป็นต้น

 

คำถามว่านโยบายใดจะถูกนำมาปฏิบัติ เป็นคำถามสำหรับผู้ที่มีอำนาจหน้าที่หรือผู้ตัดสินใจทางการเมือง ซึ่งเป็นผู้ตัดสินว่านโยบายใดเป็นนโยบายที่ถูกต้องเหมาะสมในบริบทของสังคม ในความเป็นจริง บุคคลกลุ่มนี้ ไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ แต่เป็น นักการเมือง

 

 

2.3 แก้ไขสมมติฐานเดิม

         

สมมติฐานที่ว่าผู้ตัดสินใจทางการเมืองหรือนักการเมืองจะแสวงหาประโยชน์ส่วนรวมนั้น เป็นสมมติฐานที่ขัดกับหลักการพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ที่ว่า บุคคลแต่ละคนจะแสวงหาความพึงพอใจสูงสุดของตน อย่างเช่น ครัวเรือน ในฐานะผู้บริโภคก็แสวงหาความพึงพอใจหรืออรรถประโยชน์สูงสุดโดยผ่านการบริโภค เป็นต้น

 

การพยายามโต้แย้งดังกล่าว ไม่ได้มาจากมุมมองของศีลธรรมหรือจริยธรรม และไม่ได้ปฏิเสธโดยสิ้นเชิงว่าการกระทำหรือตัดสินใจใดๆ ของนักการเมืองจะไม่คำนึงถึงประโยชน์ต่อส่วนรวม

 

นักเศรษฐศาสตร์สถาบันพยายามอธิบายพฤติกรรมการตัดสินใจทางการเมือง หรือพฤติกรรมของนักการเมือง โดยหยิบยืมแนวความคิดของเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับการทำงานและอาชีพ เนื่องจากการทำงานการเมืองถือเป็นอาชีพหนึ่ง ซึ่งถือเป็นอาชีพที่ต้องใช้ความเสียสละอย่างสูง อย่างไรก็ตาม ก็มีอำนาจหรือเกียรติเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนและดึงดูดผู้สนใจ นอกจากผลตอบแทนที่ได้รับปกติ

 

ดังนั้น นักการเมืองในฐานะผู้มีอาชีพทางการเมือง มีเป้าหมายของตนที่นำไปสู่ความพอใจสูงสุดเช่นกัน คือ ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต ซึ่งถือเป็นเป้าหมายปลายทาง (นิยามของความสำเร็จของแต่ละคนต่างกัน เช่น มีชื่อเสียง มีอำนาจ มีเกียรติ เป็นต้น) ทั้งนี้ การไปสู่เป้าหมายปลายทางได้ จะต้องผ่านเป้าหมายกลาง ได้แก่ ความสำเร็จจากตำแหน่งหน้าที่ทางการเมือง ซึ่งโดยหลักการ เกิดขึ้นจากการกระทำที่ตัดสินใจบนประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ของชาตินั่นเอง

 

การอธิบายโดยใช้แนวความคิดนี้ ทำให้สามารถวิเคราะห์โดยไม่ขัดแย้งกับการวิเคราะห์ตามแนวทางกระแสหลักที่ว่า แต่ละคนจะมุ่งแสวงหาความพึงพอใจสูงสุดของตน ซึ่งการวิเคราะห์โดยกำหนดเป้าหมายกลางและเป้าหมายปลายทางให้กับนักการเมือง ทำให้สามารถอธิบายพฤติกรรมของนักการเมืองในฐานะปัจเจกบุคคล เหมือนกับอาชีพอื่นในแบบจำลองทางเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกัน สมมติฐานนี้ก็ไม่ละเลยข้อเท็จจริงที่ว่านักการเมืองในอุดมคติ หรือนักการเมืองที่ดีที่ตัดสินใจบนประโยชน์ส่วนรวมนั้นมีอยู่

 

3. แนวคิดของการตัดสินใจทางการเมือง

 

จากตรรกะที่ว่าชื่อเสียงและเกียรติยศ เป็นสิ่งดึงดูดผู้สนใจให้เข้ามาในเส้นทางการเมือง ประกอบกับสมมติฐานเรื่องเป้าหมายกลาง ที่เป็นเครื่องมือซึ่งนำนักการเมืองไปสู่เป้าหมายปลายทาง ทำให้เห็นความสำคัญของผู้อยู่ภายใต้การตัดสินใจหรือผู้อยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจต่อการตัดสินใจของทางการเมืองนั้น ความสัมพันธ์นี้เกิดขึ้นในลักษณะที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน การตัดสินใจทางการเมืองจึงมีความสัมพันธ์ทั้งในทางตรงและทางอ้อมกับการรับรู้และความรู้สึกพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้องซึ่งอยู่ภายใต้การตัดสินใจดังกล่าว

 

การตัดสินใจทางการเมืองจึงเกิดจากกระบวนการต่อรองระหว่างผู้ทำหน้าที่ตัดสินใจทางการเมืองและผู้ที่อยู่ภายใต้การตัดสินใจ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจนั้นโดยตรง ในทางเศรษฐศาสตร์การเมือง  การตัดสินใจทางการเมืองจึงเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่าง 2 ฝ่าย ซึ่งฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เสนอหรือจัดการให้เกิดการกระทำของรัฐ ส่วนอีกฝ่ายคือผู้แสดงความต้องการต่อการกระทำดังกล่าว เช่นเดียวกับอุปทานและอุปสงค์ของสินค้า ซึ่งเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดตลาดขึ้น ในที่นี้อาจเรียกได้ว่า ตลาดการเมือง

 

3.1 อุปสงค์ของตลาดการเมือง

 

          แนวคิดของอุปสงค์ในตลาดการเมือง ไม่แตกต่างจากแนวคิดพื้นฐานของอุปสงค์ในตลาดสินค้าทั่วไป  ผู้เป็นเจ้าของความต้องการคือ บุคคลและกลุ่มบุคคล ซึ่งสามารถแสดงออกถึงความพึงพอใจต่อนโยบายได้หลายวิธี เช่น ออกเสียงในการเลือกตั้ง แสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะหรือต่อผู้แทนโดยตรง เข้าร่วมการชุมนุมเรียกร้อง เป็นต้น นอกจากนี้ ในตลาด ยังประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์ ที่เกิดการรวมตัวเนื่องจากมีความต้องการและประโยชน์ร่วมกัน เช่น สมาคมการค้า หอการค้า หรือสมาคมคุ้มครองผู้บริโภค กลุ่มเหล่านี้สามารถแสดงบทบาทเพื่อผลักดันให้รัฐกระทำตามความต้องการโดยผ่านกระบวนการทางการเมือง และไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ด้วยตัวของกลุ่มเอง ในทางทฤษฎี พฤติกรรมและกลไกการทำงานของกลุ่มผลประโยชน์นี้ ไม่ต่างจากพฤติกรรมของกลไกภายในของกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองที่สร้างอุปทานของตลาดการเมือง

 

บุคคลและกลุ่มบุคคลที่เป็นเจ้าของอุปสงค์ในตลาดการเมืองมีข้อจำกัดในการทำความเข้าใจและตัดสินการดำเนินนโยบายต่างๆ เนื่องจากเหตุผล 3 ประการ คือ

ประการแรก การเข้าถึงข้อมูลมีต้นทุนสูง ทั้งในแง่ของต้นทุนที่เป็นตัวเงินและต้นทุนของเวลา ถึงแม้ข้อมูลข่าวสารจะแพร่หลายมากขึ้นในปัจจุบัน แต่การรับข้อมูลจำนวนมาก ประกอบกับการวิเคราะห์ แยกแยะ ความน่าเชื่อถือของข้อมูลทำให้เสียต้นทุนของเวลามหาศาล

ประการที่สอง ข้อจำกัดในความรู้เชิงเทคนิค การทำความเข้าใจกับกลไกการทำงานของเครื่องมือทางเศรษฐกิจต่างๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบุคคลทั่วไป หรือแม้กระทั่งกับนักวิชาการก็ตาม ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ยังมีความเข้าใจไม่ถูกต้องและทั่วถึงในความหมายและการทำงานของเครื่องมือทางเศรษฐกิจและดัชนีพื้นฐานที่สำคัญ เช่น อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ อัตราการว่างงาน หรืออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นต้น

ประการที่สาม ประชาชนต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกที่จำกัดและซับซ้อน  เนื่องจากทางเลือกที่เสนอต่อสังคมส่วนใหญ่ ได้รับการออกแบบมาเป็นส่วนผสมหรือแพ็คเกจ ประชาชนมักจะมีโอกาสน้อยมากในตัดสินใจต่อทางเลือกเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่จะเผชิญกับทางเลือกใหญ่ที่ประกอบด้วยตัวเลือกย่อยๆ ที่อาจจะคละเคล้ากันไประหว่างตัวเลือกที่ดีและไม่ดี ถึงแม้ผู้เลือกจะมีข้อมูลและความรู้เชิงเทคนิคอยู่บ้าง การตัดสินใจก็ทำได้ยาก

 

ด้วยข้อจำกัดทั้ง 3 ประการข้างต้น ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำของการรับรู้ในสังคม และทำให้คนส่วนใหญ่ต้องพึ่งข้อมูลหรือบทวิเคราะห์ที่มาจากผู้ที่มีต้นทุนต่ำกว่าหรือมีความสามารถมากกว่าในการวิเคราะห์ โดยทั่วไป เป็นการวิเคราะห์จากกลุ่มอาชีพที่มีความชำนาญเฉพาะทาง ซึ่งในหลายกรณี เป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่ใช้ข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์กับตน ทั้งนี้ เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารที่จะลงทุนในด้านการศึกษา ซึ่งก็มีข้อจำกัดในเรื่องงบประมาณ

 

3.2 อุปทานของตลาดการเมือง

 

          ดังที่ได้กล่าวในข้างต้นว่า ตลาดการเมืองเกิดจากการแลกเปลี่ยนระหว่าง 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายที่อยู่ภายใต้การตัดสินใจทางการเมืองหรือด้านอุปสงค์ และด้านอุปทานคือฝ่ายที่เป็นผู้ตัดสินใจในทางการเมืองหรือพรรคการเมือง และสมาชิกของพรรคการเมืองหรือนักการเมือง

 

พฤติกรรมของพรรคการเมืองนั้น สามารถวิเคราะห์ในเชิงเปรียบเทียบกับพฤติกรรมขององค์กรธุรกิจ ในขณะที่องค์กรธุรกิจมีเป้าหมายคือแสวงหากำไรสูงสุด กำไรสูงสุดขององค์กรทางการเมืองได้แก่ การเพิ่มส่วนแบ่งตลาดหรือสัดส่วนของจำนวนที่นั่งในการเลือกตั้ง และการแย่งชิงความเป็นเจ้าของตลาดและรักษาตำแหน่งเอาไว้ เป้าหมายทั้ง 2 นี้ อาจมีความสำคัญแตกต่างกันในสถานการณ์ต่างกัน กล่าวคือ ในช่วงที่พรรคการเมืองเริ่มวางรากฐาน ยังไม่เป็นที่ยอมรับจากประชาชน หรือในฐานะพรรคการเมืองเล็ก/ พรรคทางเลือก เป้าหมายในการเพิ่มที่นั่งในการเลือกตั้งถือเป็นเป้าหมายหลัก ในกรณีตรงข้าม พรรคการเมืองใหญ่หรืออยู่ในฐานะพรรคนำในการบริหาร เป้าหมายในการรักษาตำแหน่งทางการเมืองเป็นเป้าหมายแรกและสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่ประเทศกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ

 

การสื่อสารกับลูกค้าเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งในตลาด หรือการตลาดของพรรคการเมืองพัฒนาไปพร้อมกับเครื่องมือทางการสื่อสาร เทคนิคและกลยุทธ์ทางการตลาดสมัยใหม่ พรรคการเมืองในปัจจุบันใช้ประโยชน์จากเครื่องมือและวิธีการเหล่านี้มากขึ้น พรรคการเมืองที่เข้าถึงและสามารถครอบครองสื่อสารมวลชนจะได้เปรียบพรรคการเมืองอื่น เพราะมีโอกาสถ่ายทอดสารที่ต้องการให้กับกลุ่มเป้าหมายโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการเผยแพร่แนวความคิดหรือการประชาสัมพันธ์ผลงานและนโยบายของตน

 

ผู้นำหรือหัวหน้าพรรคการเมืองมีหน้าที่บริหารองค์กรการเมือง เช่นเดียวกับผู้บริหารองค์กรธุรกิจ ในเชิงอำนาจ หัวหน้าพรรคการเมืองจะใช้พรรคเป็นเสมือนเครื่องมือของตนในการเข้าถึงอำนาจ ขณะที่สมาชิกพรรคเองก็มองว่าหัวหน้าพรรคการเมืองเป็นเครื่องมือของพรรค เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ประโยชน์ขององค์กรและประโยชน์ของผู้บริหารอาจเกิดความขัดแย้งกันขึ้น เช่นเดียวกับในองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ในพรรคการเมืองที่มีการจัดองค์กรอย่างเป็นระบบ ปัญหานี้จะลดลง เนื่องจากการตัดสินใจต่างๆ เกิดจากความยินยอมพร้อมใจหรือมติของสมาชิกและผู้นำไม่ได้เป็นผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จ อย่างไรก็ตาม หากหัวหน้าพรรคการเมืองต้องพึ่งพาการสนับสนุนของสมาชิกในพรรคค่อนข้างมาก อาจทำให้เกิดตลาดการเมืองภายในพรรค เนื่องจากเกิดการต่อรองของกลุ่มผลประโยชน์ที่แตกต่างกันภายในพรรค เรียกว่าเป็นตลาดการเมืองซ้อนตลาดการเมืองอีกชั้นหนึ่ง

 

3.3 ดุลยภาพของตลาด

 

          พิจารณาอุปสงค์และอุปทานของตลาดการเมืองประกอบกัน อาจกล่าวได้ว่า ดุลยภาพของตลาดเกิดขึ้นเมื่อ ผู้ตัดสินใจทางการเมืองพยายามตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน โดยพิจารณาข้อจำกัดทางเศรษฐกิจและเครื่องมือที่มีอยู่ และมีเป้าหมายคือประโยชน์สูงสุดทางการเมือง ดังนั้น การตัดสินใจทางการเมืองจึงไม่ใช่การตัดสินใจตามอำเภอใจ นักการเมืองไม่ได้ทำสิ่งที่ตนต้องการ แต่ทำในสิ่งที่ตนสามารถทำได้ นอกจากนี้ นักการเมืองมีกระบวนการเรียนรู้ความต้องการจากประสบการณ์ ซึ่งเกิดจากการสะสมข้อมูลเกี่ยวกับความพึงพอใจของประชาชนต่อนโยบาย มาตรการและโครงการในอดีต เพื่อปรับปรุงการตัดสินใจให้ตอบสนองต่อความต้องการมากขึ้น ในระยะยาว การตัดสินใจจึงมีประสิทธิภาพสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดการเมือง เป็นตลาดที่มีความไม่สมบูรณ์เช่นเดียวกับตลาดอื่นๆในแง่ของข้อมูล การตัดสินใจในการดำเนิน นโยบายและมาตรการทางเศรษฐกิจจะมีประสิทธิภาพสูงเมื่อการหมุนเวียนของข้อมูลภายในตลาด และการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนสูง นอกจากนี้ การแข่งขันในการนำเสนอนโยบายเพื่อเป็นทางเลือกก็เป็นปัจจัยที่ทำให้การตัดสินใจมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

 

4. การตัดสินใจทางการเมืองและเครื่องมือทางเศรษฐกิจ

 

          เครื่องมือทางเศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐ ประกอบด้วยเครื่องมือการเงินและการคลัง เครื่องมือทางการเงิน ได้แก่ เครื่องมือที่ใช้ผ่านทางธนาคารกลาง เช่น การเพิ่ม/ ลดปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ การกำหนดอัตราดอกเบี้ยและปริมาณเงินสำรองขั้นต่ำของธนาคารพาณิชย์ การกำหนดเงื่อนไขการให้สินเชื่อ และเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ เช่น การกำหนดเพดานของปริมาณเงินที่สามารถแลกเปลี่ยน นำเข้า-ออกจากประเทศ เพื่อป้องกันการเก็งกำไรและโจมตีค่าเงิน และการแทรกแซงตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราเพื่อพยุงค่าเงินของประเทศ เป็นต้น ส่วนเครื่องมือทางการคลัง ได้แก่ การใช้จ่ายของรัฐ ตามบัญชี     งบประมาณและโครงการต่างๆ และการเก็บภาษีทางตรงและทางอ้อม

 

เครื่องมือทางการคลังเป็นเครื่องมือที่อ่อนไหวในทางการเมืองมากกว่ามาตรการทางการเงิน  เนื่องจาก ประชาชนสามารถรับรู้และเข้าใจกลไกการทำงานของเครื่องมือทางการคลัง เช่น ภาษีและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐได้ดีกว่าเครื่องมือด้านการเงิน เช่น อัตราดอกเบี้ยและตราสาร ทางการเงิน ซึ่งมีกลไกการทำงานความซับซ้อน ประชาชนจึงสามารถคาดคะเนและแสดงความรู้สึกต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเพิ่มหรือลดภาษีได้ดีกว่าผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น นอกจากนี้ ประชาชนส่วนใหญ่มีความรู้สึกว่าเครื่องมือทางการคลัง เช่น ภาษี มีผลกระทบในด้านสังคมและเป็นเรื่องใกล้ตัวมากกว่าเครื่องมือทางการเงิน

 

ฝ่ายบริหารเองมีข้อจำกัดค่อนข้างสูงในการจัดทำงบประมาณ เนื่องจากต้องคำนึงถึงภาระที่ผูกพันมาจากอดีต และที่จะผูกพันไปในอนาคต เช่น การใช้งบประมาณแบบขาดดุลเท่ากับเพิ่มภาระภาษีให้กับประชาชนในอนาคต หรือการเพิ่มอัตราเงินเดือนหรือตำแหน่งข้าราชการก็ภาระให้กับสถานะทางการเงินของรัฐเช่นกัน นอกจากนี้ ภาษี มีข้อจำกัดในเชิงจิตวิทยา ที่ไม่สามารถลด/ยกเลิกและเพิ่ม/นำกลับมาใช้ใหม่ได้ตามที่ต้องการ อีกทั้งข้อจำกัดในเชิงกฏหมาย ซึ่งค่อนข้าง ยุ่งยากและใช้ระยะเวลาในการเปลี่ยนแปลง

 

ดังนั้น ในการตัดสินใจเกี่ยวกับเครื่องมือทางการคลังจึงเกิดกระบวนการต่อรองทางการเมืองค่อนข้างมาก และนักการเมืองมีช่องว่างในการบริหารเครื่องมือเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนจำกัด การจัดสรรผลประโยชน์จึงเป็นการจัดสรรเพื่อกลุ่มก่อน อย่างไรก็ตาม นักการเมืองมักจะใช้ประโยชน์จากเครื่องมือทางการคลังในทางการเมืองมากกว่าเครื่องมือทางการเงิน เนื่องจากเหตุผลที่ได้กล่าวในข้างต้นว่า ประชาชนสามารถรับรู้และแสดงความคิดเห็นต่อมาตรการหรือโครงการที่เกิดขึ้น ประกอบกับ ข้อจำกัดในเรื่องข้อมูล ข่าวสารและข้อจำกัดในความรู้เชิงเทคนิคเกี่ยวกับความเกี่ยวโยงทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในสังคมที่เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ สังคมที่ประชาชนอยู่บนพื้นฐานของความรู้และการศึกษา หรือในสังคมที่มีการหมุนเวียนถ่ายเทข้อมูลข่าวสารได้ดี นักการเมืองมีโอกาสน้อยที่จะหาประโยชน์ทางการเมืองจากเครื่องมือเช่น โครงการที่ไม่มีประสิทธิภาพในเชิงเศรษฐศาสตร์ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับสังคมในอนาคต

  

 

คลิ้กเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ


 

 

(กลับไปข้างบน) / (กลับไปหน้าแรกเรื่องอยากเล่า) / (กลับไปหน้าแรก)          
 

สงวนลิขสิทธิ์ © 2003 
งานเขียนแต่ละชิ้นเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนแต่ละท่าน