![]() |
||||||||||||||
|
||||||||||||||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() สภาพอากาศประจำวัน ![]()
ที่
Aix-en-Provence
การติดต่อที่จำเป็น ลิงค์เพื่อนบ้าน |
|
ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า คำอธิบายที่สอดคล้องกับข้อความดังกล่าวคือ การขยับฐานะทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นยากและน้อยลงในปัจจุบัน ที่ภาษาชาวบ้านใช้คำว่า สร้างเนื้อสร้างตัว นั้น เราต้องยอมรับว่าทำได้ยากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับคนรุ่นก่อน หลายคนอาจตั้งคำถามว่า สังคมไทยมีคนชั้นกลางมากกว่าในอดีตไม่ใช่หรือ?? คำถามนี้ น่าสนใจไม่น้อย (หากมีการศึกษากันจริงจังในเรื่องการขยับฐานะทางเศรษฐกิจของบ้านเรา ก็คงจะทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากกว่าการคาดคะเนและใช้ความรู้สึกอย่างที่กำลังทำอยู่) ข้อโต้แย้งหนึ่งก็คือ การเลื่อนฐานะส่วนใหญ่เกิดขึ้นในระดับล่าง การขยับจากคนชั้นกลางไปเป็นคนรวยนั้นเกิดขึ้นได้ยากกว่า ไม่ต้องพูดถึงการกระโดดข้ามชั้นจากคนจนไปเป็นคนรวย ซึ่งมีความเป็นไปได้ต่ำ
ถ้าหากเราแบ่งประชากร ออกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ตามฐานะหรือรายได้ อย่างง่าย ดังนี้
- กลุ่ม 1 : ประชากรกลุ่มที่มีรายได้ต่ำสุด 20%
- กลุ่ม 2 : ประชากรกลุ่มที่มีรายได้สูงขึ้น 20% ต่อมา
- กลุ่ม 3 : ประชากรกลุ่มที่มีรายได้ปานกลาง
- กลุ่ม 4 : ประชากรกลุ่มที่มีรายได้สูงขึ้น 20% ต่อมา
- กลุ่ม 5 : ประชากรกลุ่มที่มีรายได้สูงสุด 20%
สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยคือ การขยับฐานะจากส่วนที่อยู่ล่างสุดของปิระมิดหรือจากกลุ่ม 1 ไปยังกลุ่ม 2 หรือกลุ่ม 3 เกิดขึ้นมากกว่าการเลื่อนจากกลุ่ม 3 หรือกลุ่ม 4 ขึ้นไปอยู่ในกลุ่มที่มีรายได้สูงสุด 20%
นอกจากนี้ ต้องไม่ลืมว่า วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น2ทำให้เกิดคนชั้นกลางมากขึ้น คนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นนี้ ส่วนใหญ่มาจากคนเคยรวยยุคก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ และมีบางส่วนที่เป็นคนเคยรวยมาก (อย่างที่เคยมีคำพูดประชดประชันว่า รัฐบาลสมัยนั้นมีนโยบายทำให้คนไทยรวยเท่าๆ กัน ความจริงคือจนเท่าๆ กันหมด)
ประเด็นที่น่าสนใจและเป็นอีกด้านของเหรียญเดียวกันนี้ คือ ความแตกต่างหรือช่องว่างทางรายได้ระหว่างกลุ่มดังกล่าวข้างต้น ในประเทศไทย คนรวยสุด 20% แรก มีฐานะและความเป็นอยู่ที่แตกต่างจาก 20% สุดท้ายอย่างชัดเจน (คนรวยสุด 20% ของประเทศ เป็นเจ้าของทรัพย์สินเกือบ 80% ของทั้งหมด)
เราลองดูตัวอย่างของสังคมแบบง่ายๆ 2 แบบ ที่สมมุติให้ทุกคนประกอบอาชีพเดียวกัน สังคมแบบแรกขอใช้ชื่อว่า สังคมชาวประมง ส่วนสังคมที่สองขอเรียกว่า สังคมชาวเหมืองทอง
ในสังคมแบบแรกที่เรียกว่า สังคมชาวประมง ผลตอบแทนในการประกอบอาชีพคือจำนวนปลาที่แต่ละคนจับได้ และมากน้อยแตกต่างกันไปตามความสามารถของแต่ละคน ส่วนในสังคมที่สอง คือ สังคมชาวเหมืองทอง ทุกคนมีอาชีพเดียวกันคือการขุดและร่อนทอง ผลตอบแทนที่ได้รับคือทองที่แต่ละคนหาได้ ซึ่งคราวนี้นอกจากความสามารถแล้ว มีเรื่องโชคเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น
พิจารณาตามหลักเหตุและผล ความแตกต่างทางฐานะในสังคมชาวประมงนั้น มีน้อยกว่าในสังคมชาวเหมืองทอง เนื่องจากผลตอบแทนของแต่ละคนในสังคมชาวประมงขึ้นอยู่กับความสามารถและความอุตสาหะมากกว่า นอกจากนี้ ความสามารถ (รวมทั้งโอกาส) ของแต่ละคนในการหาปลาก็ไม่แตกต่างกันมากนัก ดังนั้น ระบบภาษีในสังคมชาวเหมืองทอง จึงควรคำนึงถึงหลักการกระจายรายได้มากกว่า(เมื่อเปรียบเทียบกับสังคมชาวประมง) เพื่อบรรเทาหรือแก้ไขความแตกต่างทางฐานะที่เกิดขึ้น ไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคมมากนัก
อย่างไรก็ตาม การรับรู้และเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในปริบททางเศรษฐกิจและสังคม ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบุคคลทั่วไป ในความเป็นจริง สังคมเราซับซ้อนกว่าสังคมชาวประมงและสังคมชาวเหมืองอย่างมาก ที่ยกตัวอย่างแบบจำลองง่ายๆ 2 แบบนี้ขึ้นมา ก็เพื่อให้เรามองเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นในประเด็นของความแตกต่างทางฐานะหรือรายได้ โดยปราศจากอคติในเรื่องนโยบายหรือการเอารัดเอาเปรียบทางสังคม
Paul Krugman นักเศรษฐศาสตร์อเมริกันที่มีชื่อเสียง เคยเปรียบสังคมอเมริกันว่ามีลักษณะใกล้เคียงสังคมชาวเหมืองทองมากขึ้น ทั้งที่ในอดีตนั้น มีลักษณะคล้ายคลึงกับสังคมชาวประมง (Washington monthly, ตุลาคม 1995) ทำให้ผู้เขียนกลับมาตั้งคำถามว่า สังคมไทยนั้นค่อยๆ เปลี่ยนแปลงจากสังคมที่มีลักษณะใกล้เคียงสังคมแบบชาวประมงมาเป็นสังคมชาวเหมืองทองมากขึ้น เช่นเดียวกันหรือไม่ ??? ตั้งแต่เมื่อใด?? หรือเรามีความเป็นสังคมแบบชาวเหมืองทองมาโดยตลอด??
ในความรู้สึกของเรา สัดส่วนของรายจ่ายด้านสังคมนี้ แสดงให้เห็นถึงจุดยืนของรัฐฯ และแบบจำลองทางเศรษฐกิจของประเทศทางค่ายยุโรปอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์3ที่น่าสนใจชิ้นหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นว่า ระบบการจัดเก็บภาษีของประเทศยุโรป แท้จริงแล้ว สร้างภาระภาษีให้กับคนยากจนมากกว่าคนรวย
ผลงานศึกษาดังกล่าว ให้เหตุผลที่น่าสนใจว่า ประเทศในกลุ่มยุโรปเก็บภาษีจากการบริโภคในอัตราที่สูงกว่าเก็บจากรายได้ นอกจากนี้ ในบรรดาภาษีที่เก็บจากบริโภคนั้น รัฐฯ เลือกที่จะเก็บภาษีจากกิจกรรมบางอย่าง เช่น การบริโภคเหล้าและบุหรี่ มากกว่าสินค้าฟุ่มเฟือย ยิ่งไปกว่านั้น ภาษีที่เก็บจากทุน (ซึ่งเป็นของคนรวย) ในประเทศกลุ่มยุโรป น้อยกว่าภาษีเดียวกันของสหรัฐฯ เสียอีก
คำอธิบายตามหลักเศรษฐศาสตร์ คือ
1) การเก็บภาษีจากการรายได้ จะมีผลกระทบในทางลบกับการออมมากกว่า เนื่องจาก เราเสียภาษีจากดอกเบี้ยในการออมอยู่แล้ว ถ้าหากรัฐฯ เก็บภาษีจากรายได้อีก เท่ากับเงินส่วนที่เหลือ ถูกหักภาษีไปแล้วสองต่อ
2) ความยืดหยุ่นต่อราคาของการบริโภคเหล้าและบุหรี่ต่ำกว่าของการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย หมายความว่า ราคาที่เปลี่ยนแปลงไปของเหล้าหรือบุหรี่ ไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงปริมาณการบริโภคมากนัก และเปลี่ยนแปลงน้อยกว่ากรณีของสินค้าฟุ่มเฟือย วิธีนี้ทำให้รัฐฯ เก็บภาษีได้มากนั่นเอง
ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า ระบบภาษีของยุโรปมีประสิทธิภาพ (คือรัฐฯ มีวิธีเก็บภาษีที่ทำให้ได้รายได้มาก) แต่บกพร่องในการจัดสรรทรัพยากรจากคนรวยไปสู่คนจน อย่างไรก็ตาม การศึกษาดังกล่าวได้อธิบายเพิ่มเติมว่า รัฐฯ สวัสดิการของยุโรปได้ใช้เครื่องมืออื่น เช่น เงินชดเชยสำหรับผู้ว่างงานและผู้เกษียณอายุ ฯลฯ เพื่อแก้ไขความไม่เท่าเทียมและความเหลื่อมล้ำในสังคม
การทำความเข้าใจปริบททางเศรษฐกิจและสังคมมีสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษาปัญหาความยากจน เพื่อนำไปสู่แสงสว่างปลายอุโมงค์ (รองจากความรู้ความชำนาญทางวิชาการ) การทำความเข้าใจกับวิธีคิดเบื้องหลังเหล่านี้ เป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐ ในฐานะผู้กำหนดนโยบายและผู้บริหารประเทศ (จำเลยคนแรกและคนเดียว ของปัญหาความยากจนของชาติ แม้ว่าเกือบทั้งหมดจะอ้างว่าตนเป็นแพะ) ที่ต้องมีบทบาทในการเยียวยาปัญหาปากท้องของประชาชน เราก็เพียงแต่หวังว่า จำเลยจะไม่กลับคำสารภาพในชั้นศาล และจะไม่มีการข่มขู่พยาน (นักวิชาการ) เช่นที่แล้วมา
2 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างมาก เราจะพบว่า การศึกษาทางสังคมศาสตร์ในระยะหลัง แบ่งยุคสมัยออกเป็น ไทยก่อนและหลังวิกฤติเศรษฐกิจ
3 “Growing Public: Social Spending and Economics Growth Since the Eighteenth Century”, Cambridge University Press, 2004
(กลับไปข้างบน) /(กลับไปหน้าแรก) / (กลับไปสารบัญบทความ)
สงวนลิขสิทธิ์ © 2003
งานเขียนแต่ละชิ้นเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนแต่ละท่าน
[1] เส้นนามธรรม ที่แสดงถึงระดับความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐาน ที่มนุษย์จะสามารถยังชีพได้ – โดยหลักการ จะวัดฐานะของคนจากรายได้ที่เป็นตัวเงินและทรัพย์สินที่เปลี่ยนรูปเป็นเงินได้ – ความถูกต้องเหมาะสม ไม่ใช่ประเด็นในที่นี้