ดู TV
ฟังวิทยุ อ่าน นสพ.
การ
Set
เพื่อพิมพ์ไทย
โทรกลับไทย
IRADIUM
โทรกลับไทย
Telerabais
ที่ตั้งและแผนที่
Aix
การเดินทางและตารางรถ
ตารางรถประจำทางใน
AIX
ตารางรถไป
Marseille
และ
Plan de campagne
ตารางรถPays
d'Aix ไป Plan
สภาพอากาศประจำวัน
ที่
Aix-en-Provence
Webboard
(กระทู้)การขอทุนเรียนที่ฝรั่งเศส
การปรับหลักสูตรมหาวิทยาลัยของฝรั่งเศส
คู่มือศึกษาต่อในประเทศฝรั่งเศส
(โดยสารสนเทศการศึกษาต่อต่างประเทศ)
คู่มื่อเลือกมหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส(
Guide Lamy des 3es cycles)
โรงเรียนสอนภาษาฝรั่งเศส
IEFEE
มหาวิทยาลัยต่าง
ๆ ในฝรั่งเศส
มหาวิทยาลัยใน Aix
Université
de Provence
Université
de la Mediterranee
Université Paul
Cézanne
(Universitéde
Droit, d'Economie et des Sciences d'Aix-Marseille3)
สถาบันศึกษาอื่น
ที่พักอาศัย
-
ที่พักของมหาวิทยาลัย
(
CROUS)
ที่พักของเอกชน
-
(Estudines)
-
(Citadine)
-
หาที่พักกับ
adele.org
-
หาที่พักกับ office de tourisme
-
พักที่บ้านพักเยาวชน(Auberge de jeunesse)
การขอเงินช่วยเหลือค่าที่พัก(CAF)
การติดต่อที่จำเป็น
การติดต่อขอใบอนุญาตพักอาศัยในประเทศ(Carte de sejour)
- เอกสารที่ต้องใช้
1/
2
/3
- ติดต่อ
Prefecture des Bouches-du-Rhone
-
(กระทู้Thaiaixoisที่เกี่ยวข้อง)
การประกันสุขภาพ
-
การติดต่อประกันสุขภาพ
Securite sociale)
-
MEP
ประกันสุขภาพของนักเรียน(อายุไม่เกิน 25 ปี)
-
Assurance étudiant
(อายุไม่เกิน 40 ปี)
อื่น ๆ
-
การทำงานนอกเวลา
-
การต่ออายุหนังสือเดินทาง
ลิงค์เพื่อนบ้าน
Thai
Law Reform
สมาคมนักเรียนไทยในฝรั่งเศส
เพื่อนไทยในเกรอนอบ
เพื่อนไทยในตูลูส
เพื่อนไทยในลียง
ABC-Bittorrent
Client โดย pingpong
เพื่อนไทยในเบลเยี่ยม
สำนักงานผู้ดูแลนักเรียนฯ
เล่าข้ามฟ้ากับนาย
Baguette
Pokpong's
Nujern's
homepage
Café
Lunar
Cafe
Lunar สาขา 2
Le
Journal de TAUNG
Artsstudio
|
|
สนทนาประสาจน*
(ปัญญา)
ตอน 1
โดย
... เกรียงศักดิ์
ธีระโกวิทขจร
*ด้วยความตั้งใจที่จะเพิ่มที่ทางสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน
โดยเริ่มจากมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ ในขณะเดียวกัน
ผู้เขียนเองไม่ต้องการให้พื้นที่ส่วนนี้มีเนื้อหาและบรรยากาศที่รุนแรงมากนัก
ถึงแม้จะมีความเป็นวิชาการอยู่บ้าง จึงขอใช้คำว่า "สนทนา"
เพื่อสื่อความหมายถึงการบอกเล่า รับฟังและแลกเปลี่ยนในตัวเอง และแน่นอน
ประเด็นที่จะถูกหยิบยกขึ้นมานั้น จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ
หรือเรื่องที่กระทบกับปากท้องโดยตรง
1 เกิดมาจน...
ปัญหาความยากจนเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ
และอาจจะกล่าวว่าเป็นปัญหาระดับโลกก็ว่าได้ นักวิชาการที่เกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักเศรษฐศาสตร์
ศึกษาปรากฏการณ์นี้เป็นเวลาไม่น้อยกว่ากึ่งศตวรรษ แต่ความยากจนก็ยังคงปรากฎให้เห็นอยู่โดยทั่วไป
ในบ้านเรา
ตั้งแต่เริ่มต้นการพัฒนา(โดยใช้แนวคิดจากตะวันตก) และมีการขีดเส้นแบ่งความยากจน
คนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งถูกตีตราอย่างเป็นทางการทันทีว่าเป็นคนจน
เนื่องจากมีระดับความเป็นอยู่ต่ำกว่าระดับพอยังชีพ
ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่นาน คนกลุ่มเดียวกันนี้
เชื่อมาโดยตลอดว่าตนเป็นผู้มั่งคั่ง เนื่องจากมีทุนทางธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
และบรรพบุรุษของตนดำรงชีวิตอย่างผาสุกในวิถีเดียวกันนี้
ยิ่งพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ
ความแตกต่างที่ขยายตัวกว้างขึ้นระหว่าง
คนเมืองซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่อยู่เหนือเส้นความยากจน
กับคนชนบทที่บางส่วนอยู่คาบเส้นและที่เหลืออยู่ต่ำลงไป
ปัญหาความยากจนที่แท้จริงจึงเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจน
หลังจากที่คุณค่าแบบเดิมถูกปฏิเสธโดยรัฐ (และเจ้าหน้าที่ของรัฐ) จนเกิดกระบวนการปลดเปลื้องทุนธรรมชาติ
และซ้ำเติมอีกระลอกจากผลพวงของนโยบายหลายๆ ด้าน เช่น
การกระจุกตัวของความเจริญและโอกาส โดยเฉพาะโอกาสทางการศึกษา
ซึ่งแสดงบทบาทอย่างชัดเจนในสองถึงสามทศวรรษที่ผ่านมาว่าเป็นเครื่องขยับฐานะทางสังคมของคนที่ถูกเรียกว่าชนชั้นล่าง
รวมทั้งการกระจายรายได้ที่ล้มเหลว เป็นต้น
ตลอดเส้นทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทย
เราจึงปลูกฝังทัศนคติที่ผิดกับคนเหล่านี้ (โดยไม่รู้ตัว) ว่า
เขาไม่สามารถหลุดพ้นจากวงจรชีวิตที่เป็นอยู่นี้ได้ ลูกหลานของคนกลุ่มนี้ไม่น้อย
จึงรู้สึกว่าตนมี
"ยีนจน"
ติดตัวมาแต่กำเนิด ซ้ำร้ายกว่านั้น มีจำนวนไม่น้อยที่เชื่อว่าความจนนั้นเป็นเรื่องกฎแห่งกรรม
แก้ไขอะไรไม่ได้ในปัจจุบัน (ทางเดียวเท่านั้นที่ทำได้ คือสร้างกรรมดี
เพื่อการหลุดพ้นในชาติหน้า)
อย่างไรก็ตาม
การศึกษามีส่วนอย่างมากในการแก้ไขอคติดังกล่าว
ในขณะที่ความเจริญขยายตัวครอบคลุมพื้นที่ชนบทเดิม
(เกิดจากการพัฒนาที่แต่เดิมหลั่งไหลไปยังเมืองใหญ่ เมื่ออิ่มตัว จึงเกิดการท่วมล้นไปสู่เมืองปริมณฑล
- spill-over effect –
การท่วมล้นทางความเจริญนี้เกิดขึ้นช้าและไร้ทิศทาง
ไม่อาจนับได้ว่าเป็นวิธีที่เหมาะสมในการพัฒนา) เกิดผลที่สำคัญตามมาสองประการคือ
ประการแรก
ความรู้ใหม่ (ของตะวันออก แต่เก่ามาจากตะวันตก)
กลับสอดรับอย่างดีกับการพัฒนาที่รัฐได้วางรากฐานไว้
และดูเหมือนจะช่วยปรับสร้างให้คนพร้อมรับกับระบบและผลจากการพัฒนา
โดยไม่เกิดการตั้งคำถามหรือการท้าทายระบบที่เป็นอยู่
ความรู้ใหม่นี้ไม่ได้แก้ไขอคติที่ได้กล่าวมาข้างต้นแต่อย่างไร
ประการที่สอง
ในขณะที่ความรู้ตะวันตกเป็นสิ่งใหม่ในสังคมชนบท
ต้องไม่ลืมว่าความรู้เดียวกันนี้
ได้เดินทางมาถึงชุมชนเมืองก่อนและส่วนหนึ่งถูกนำไปเผยแผ่โดยชนชั้นปัญญาชนเอง
(ความน่าสนใจอยู่ที่ว่า นักวิชาการแต่ละท่าน
สามารถสังเคราะห์ความรู้นั้นและปรับให้เข้ากับสังคมไทยมากน้อยแตกต่างกัน)
ส่วนที่ผ่านการสังเคราะห์อย่างดีต่างหากที่ก่อให้เกิดกระบวนการคิดใหม่
และนำมาซึ่งการเผชิญหน้าทางความคิด
(แสดงออกทางการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชน) ในบางกรณี
ก่อตัวจนเกิดเป็นการปะทะอย่างที่เราเห็นตามข่าวอยู่บ่อยครั้ง การท้าทายนี้
บ้างก็ได้รับโอกาสให้ฝักตัว พัฒนา
และได้รับการยอมรับให้เป็นทางเลือกหนึ่งขององค์ความรู้ บ้างก็ถูกลบล้างไปโดยตรรกตะวันตกที่ดูเป็นกลาง
แต่ล้วนเกิดขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับระบบ
2 พูดจาประสาจน
...
เมื่อกล่าวถึงความยากจนที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ในบ้านเรา
มีคำพูดติดปากที่เกี่ยวข้องกับความจน-ความรวยมากมาย ตัวอย่างง่ายๆ
ที่เราคงได้ยินได้ฟังบ่อยครั้ง เช่น บ้านนั้นรวย เขาเป็นเศรษฐี/
บ้านนี้จน ไม่มีอันจะกิน
ประโยคธรรมดานี้มีนัยทางเศรษฐศาสตร์แฝงอยู่และอาจนำไปสู่คำถามน่าขบคิดติดตามมา
คำถามตรงไปตรงมาที่เกิดขึ้น แต่น่าสนใจไม่น้อย คือ เราวัดหรือตีค่าความรวย
ความจนจากอะไร
เมื่อศึกษางานทางเศรษฐศาสตร์ ที่เกี่ยวกับการวัดความมั่งคั่ง จะพบว่า
มีแนวทางหลักสองแนวทางคือ หนึ่ง การใช้ทรัพย์สิน (หรือความมั่งคั่ง)
และสอง การใช้กระแสหมุนเวียนของเงิน/
กระแสเงินสด (หรือรายได้) เป็นเกณฑ์
การวัดฐานะจากกระแสเงินสดหรือรายได้
น่าจะเป็นวิธีที่เราคุ้นเคยและใช้กันเป็นปกติวิสัย
เพราะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนและตัดสินได้ง่าย ตัวอย่างคือ
เรามักจะเปรียบเทียบเงินเดือนในระบบราชการกับเงินเดือนของเอกชน
ของบุคลากรที่มีพื้นความรู้ไม่ต่างกัน
โดยหลักการแล้ว
การเปรียบเทียบโดยใช้รายได้เป็นฐานนี้ เหมาะสมกับกลุ่มที่มีฐานรายได้ไม่สูงนัก
พูดง่ายๆว่า เหมาะสำหรับพวกคนชั้นกลาง (ค่อนมาทางจน) อย่างเราๆ
สำหรับกลุ่มที่มีรายได้สูงหรือในบรรดาเศรษฐีด้วยกันเอง
การเปรียบเทียบความร่ำรวยจากทรัพย์สิน (หรือจะใช้คำว่าสินทรัพย์ ก็ไม่ต่างกัน)
น่าจะทำให้เห็นภาพที่สอดคล้องกับความเป็นจริงมากกว่า เนื่องจาก
บุคคลเหล่านี้มีรูปแบบการเก็บรักษาความมั่งคั่งของตนที่ซับซ้อน เช่น
มีการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเพื่อกระจายความเสี่ยง เก็งกำไร
หรือเพื่อความพึงพอใจส่วนตัว ก็แล้วแต่ (บางคนอาจโอนหุ้น ซุกหุ้นบ้าง
บกพร่องโดยสุจริต ไม่ว่ากัน) นอกจากนี้
การใช้รายได้เป็นเกณฑ์ในการศึกษาหรือเปรียบเทียบ
อาจจะทำให้ได้ผลที่ไม่สะท้อนความเป็นจริง
อย่างที่ได้กล่าวแล้วว่าบุคคลกลุ่มนี้มีการลงทุนสูง เนื่องจากในการลงทุน
ย่อมมีความเสี่ยงเกิดขึ้น ดังนั้น ผลที่ได้จึงอาจจะเกิดการเบี่ยงเบน
(ในปีที่สนใจ บุคคลหรือองค์ธุรกิจนั้น อาจโชคร้าย
ขาดทุนไปบ้างไม่กี่สิบหรือร้อยล้าน)
ถ้าเราได้ติดตามข่าวกันอยู่บ้าง
อาจจะเคยได้ยินว่าบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่หรือบริษัทข้ามชาติ หลายต่อหลายแห่ง
มีผลประกอบการเป็นลบในบางช่วง
หรือบริษัทของเศรษฐีบางท่านอาจเกิดขาดทุนมหาศาลในบางปี
เราก็มักจะตั้งคำถามขึ้นในใจต่อมาว่า
ทำไมองค์กรธุรกิจเหล่านี้ยังคงประกอบธุรกิจอยู่ได้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ข้อเท็จจริงคือ เรากำลังสนใจกับความเสียหายที่เกิดขึ้นในจุดใดจุดหนึ่ง
หรือในขอบเขตของเวลาที่สั้นเกินไป
อีกตัวอย่างหนึ่งของคำพูดติดหูในสังคมไทย
(มีปริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่กว้างขึ้น) ได้แก่ "สมัยนี้
ลำบากกว่าสมัยก่อน หาเงินยากขึ้น "
เราลองมาคิดเล่นๆ
กับข้อความข้างต้น จะพบว่า สามารถตีความไปได้มากมายเช่น
ที่ว่าหาเงินยากขึ้นนั้น หมายความว่า คนในปัจจุบัน
ต้องทำงานมากขึ้นเพื่อให้ได้รายได้จำนวนเท่าเดิม?(เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินเฟ้อ)
หรือรายได้มากขึ้นก็จริง แต่กลับบริโภคได้น้อยลง?(อาจเป็นเรื่องเงินเฟ้อหรือผลกระทบจากการเก็บภาษี)
หรือในเชิงสัญลักษณ์ เงิน อาจถูกใช้เป็นตัวแทนของงานหรือการทำงาน
ดังนั้น การหาเงินยากขึ้น อาจหมายถึง หางานยาก
ซึ่งอาจเกิดจากตำแหน่งงานมีไม่เพียงพอ?
(รัฐต้องเข้ามามีบทบาทในการสร้างงาน) หรือตลาดแรงงานมีการแข่งขันสูง?
(เป็นบวก แต่คราวนี้พาดพิงไปถึงเรื่องการศึกษา) และสุดท้าย (แต่ยังไม่ท้ายสุด)
อาจสะท้อนถึงธรรมชาติของตลาดโดยรวมที่เปลี่ยนไปอย่างแท้จริง
ตัวอย่างนี้
มีนัยที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นทางฐานะ
ซึ่งจะขออนุญาตกล่าวถึงในตอนต่อไป...
(กลับไปข้างบน) /(กลับไปหน้าแรก)
/
(กลับไปสารบัญบทความ)
สงวนลิขสิทธิ์ © 2003
งานเขียนแต่ละชิ้นเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนแต่ละท่าน
|