ศัพท์กฎหมายฝรั่งเศส

Internet pour le droit

เรื่องอยากเล่า

Salon d'Aix

webboard

คุยกับดอกแก้ว

จดหมายเหตุ


ดู TV ฟังวิทยุ อ่าน นสพ.
การ Set เพื่อพิมพ์ไทย
โทรกลับไทย IRADIUM
โทรกลับไทย Telerabais

ที่ตั้งและแผนที่ Aix
การเดินทางและตารางรถ

ตารางรถประจำทางใน AIX
ตารางรถไป Marseille และ Plan de campagne
ตารางรถPays d'Aix ไป Plan
    สภาพอากาศประจำวัน
    ที่ Aix-en-Provence


Webboard

Thaiaixois Gallery
ศัพท์กฎหมายฝรั่งเศส
Internet pour le droit
เรื่องอยากเล่า (วิชาการ)
สภากาแฟ Salon d'Aix
คุยกับดอกแก้ว
จดหมายเหตุ
ส่ง e-cartes  virtuelles d'Aix-en-Provence

(กระทู้)การขอทุนเรียนที่ฝรั่งเศส

การปรับหลักสูตรมหาวิทยาลัยของฝรั่งเศส

คู่มือศึกษาต่อในประเทศฝรั่งเศส (โดยสารสนเทศการศึกษาต่อต่างประเทศ)

คู่มื่อเลือกมหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส( Guide Lamy des 3es cycles)

โรงเรียนสอนภาษาฝรั่งเศส IEFEE


มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในฝรั่งเศส

มหาวิทยาลัยใน Aix
Université de Provence 
Université de la Mediterranee

Université Paul Cézanne (Universitéde Droit, d'Economie et des Sciences d'Aix-Marseille3)

สถาบันศึกษาอื่น


ที่พักอาศัย
 - ที่พักของมหาวิทยาลัย
( CROUS)

ที่พักของเอกชน
 
- (Estudines)
 
-  (Citadine)  
 -
หาที่พักกับ adele.org
 - หาที่พักกับ office de tourisme
 - พักที่บ้านพักเยาวชน(Auberge de jeunesse)

การขอเงินช่วยเหลือค่าที่พัก(CAF)


การติดต่อที่จำเป็น

การติดต่อขอใบอนุญาตพักอาศัยในประเทศ(Carte de sejour)
 - เอกสารที่ต้องใช้ 1/ 2 /3
 - ติดต่อ
Prefecture des Bouches-du-Rhone
 - (กระทู้Thaiaixoisที่เกี่ยวข้อง)

การประกันสุขภาพ
 - การติดต่อประกันสุขภาพ
Securite sociale)
 - MEP ประกันสุขภาพของนักเรียน(อายุไม่เกิน 25 ปี)
 - Assurance étudiant (อายุไม่เกิน 40 ปี)

อื่น ๆ
 - การทำงานนอกเวลา
 - การต่ออายุหนังสือเดินทาง


ลิงค์เพื่อนบ้าน
Thai Law Reform
สมาคมนักเรียนไทยในรั่งเศส
เพื่อนไทยในเกรอนอบ
เพื่อนไทยในตูลูส
เพื่อนไทยในลียง

ABC-Bittorrent Client โดย pingpong
เพื่อนไทยในเบลเยี่ยม
สำนักงานผู้ดูแลนักเรียนฯ
เล่าข้ามฟ้ากับนาย Baguette
Pokpong's
Nujern's homepage
Café Lunar

Cafe Lunar สาขา 2
Le Journal de TAUNG
Artsstudio

 

ทฤษฎีบริการสาธารณะในกฎหมายปกครองฝรั่งเศส : ข้อความคิด  แนวทางการใช้ และระบบกฎหมาย[1]
โดย ธีระชัย จาตุรนต์สวัสดิ์

คลิ๊กเพื่อกลับไปอ่านตอนที่ I การเกิดขึ้นของข้อความคิด  แนวทางการใช้ และระบบกฎหมายของทฤษฎีบริการสาธารณะ
 

(คลิ๊กเพื่อโหลดอ่านด้วย PDF ไฟล์)

คลิ๊กเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ

 

ย้อนกลับไปตอน I การเกิดขึ้นของข้อความคิด  แนวทางการใช้ และระบบกฎหมายของทฤษฎีบริการสาธารณะ
 
 

เค้าโครงส่วนที่สอง

II ปัญหาของข้อความคิด แนวทางการใช้ และระบบกฎหมายของทฤษฎีบริการสาธารณะ

          1.     ปัญหาการไม่สามารถกำหนดเนื้อหาของข้อความคิด

                    (1)    ข้อความคิดที่มีความหมายหรือเนื้อหาแตกต่างไปจากเดิม 

                    (2)    ข้อความคิดที่เกณฑ์พื้นฐานแต่ละเกณฑ์ไม่สอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 

                                   (2.1) วิวัฒนาการของเกณฑ์พื้นฐานในแง่องค์กร 

                                   (2.2) วิวัฒนาการของเกณฑ์พื้นฐานในแง่วัตถุประสงค์ของภารกิจ 

                                   (2.3) วิวัฒนาการของเกณฑ์พื้นฐานในแง่เนื้อหาของกฎหมาย 

                    (3)    ข้อความคิดที่ไม่สามารถเข้าใจได้

          2.     ปัญหาการไม่สามารถกำหนดแนวทางการใช้

                    (1)   บริการสาธารณะไม่ใช่แนวทางการใช้ที่มีประสิทธิภาพแนวทางเดียวในการกำหนดเขตอำนาจ
                                        ของศาลปกครอง

                               (1.1) แนวความคิดเรื่องเอกสิทธิ์ของอำนาจมหาชน (Prérogatives de  puissance publique)

                               (1.2) แนวความคิดเรื่องข้อกำหนดพิเศษที่แตกต่างจากข้อกำหนดตามสัญญาทั่วไปในหลัก
                                                   กฎหมายแพ่ง (Clauses exorbitantes du droit commun )

                                (1.3) แนวความคิดเรื่องสถานการณ์หรือกิจกรรมที่สามารถจะเทียบได้กับสถานการณ์หรือ
                                                    กิจกรรมของเอกชน (Situations ou des activités sont comparables à celles de
                                                    particulier)

                                (1.4) แนวความคิดเรื่อง ฐานทางรัฐธรรมนูญของกฎหมายปกครอง (Les basses
                                                     constitutionnelles du droit administratif)

                                (1.5) แนวความคิดเรื่องเอกสิทธิ์ของอำนาจมหาชนคู่กับบริการสาธารณะ

                    (2)   บริการสาธารณะไม่ใช่แนวทางการใช้ที่มีประสิทธิภาพแนวทางเดียวในการกำหนดลักษณะของ
                                        กฎหมายปกครอง

          3.     ปัญหาการไม่สามารถกำหนดระบบกฎหมาย

                    (1)   บริการสาธารณะกลายเป็นระบบคู่ : การแยกความแตกต่างระหว่างบริการสาธารณะทางปกครอง
                                        กับบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม

                    (2)   หลักกฎหมายทั่วไปของบริการสาธารณะเปลี่ยนรูปไป

บทสรุป

 


....................................................................................................................................................


(ต่อจากตอนที่  I การเกิดขึ้นของข้อความคิด  แนวทางการใช้ และระบบกฎหมายของทฤษฎีบริการสาธารณะ )
 

II ปัญหาของข้อความคิด แนวทางการใช้ และระบบกฎหมายของทฤษฎีบริการสาธารณะ

ทฤษฎีบริการสาธารณะในช่วงแรกเป็นข้อความคิดที่มีลักษณะชัดเจนแน่นอนผูกติดกับระบบกฎหมายที่ประกอบไปด้วยเกณฑ์ต่าง ๆ สอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งเอื้อประโยชน์ในการใช้อธิบายเนื้อหาของกฎหมายปกครองและคดีปกครองได้ดี จนกระทั่งประมาณปี 1950 ทฤษฎีบริการสาธารณะเริ่มประสบกับวิกฤติในทางเนื้อหาของข้อความคิด แนวทางการใช้และระบบกฎหมายที่เคยใช้ได้ดีตลอดมา จนไม่สามารถที่จะกำหนดชัดเจนลงไปถึงเนื้อหาของข้อความคิด แนวทางการใช้  และระบบกฎหมายของบริการสาธารณะ 

1.     ปัญหาการไม่สามารถกำหนดเนื้อหาของข้อความคิด 

                                ข้อความคิดเกี่ยวกับทฤษฎีบริการสาธารณะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความต้องการของนักทฤษฎีสำนักบริการสาธารณะหรือสำนักบอร์กโดซ์ที่มุ่งจะใช้เป็นหลักในการอ้างความชอบธรรมของรัฐให้มีความถูกต้องและเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แทนการอ้างแต่หลักเรื่องอำนาจมหาชนที่มีมาแต่เดิม แต่เนื่องจากตัวความคิดของทฤษฎีบริการสาธารณะเองก็มีความขัดแย้งและเกื้อกูลต่อทฤษฎีอำนาจมหาชนอยู่ในตัว  ดังนั้น
ข้อความคิดบริการสาธารณะจึงแสดงออกมาผิดไปจากความหมายดั้งเดิม  เป็นข้อความคิดที่ถูกขยายเนื่องจากเกณฑ์พื้นฐานแต่ละเกณฑ์ของข้อความคิดไม่สอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  และในที่สุดการเปลี่ยนไปของความหมายและเกณฑ์พื้นฐานที่ใช้ในทฤษฎีบริการสาธารณะทำให้ บริการสาธารณะกลายเป็นข้อความคิดที่ยากแก่การเข้าใจ
 

(1)    ข้อความคิดที่มีความหมายหรือเนื้อหาแตกต่างไปจากเดิม
 

                                เดิมข้อความคิดเรื่องบริการสาธารณะมีจุดมุ่งหมายที่จะอธิบายความชอบธรรมของการกระทำของรัฐให้เป็นรูปธรรมและชัดเจนแทนการใช้ข้อความคิดเรื่องอำนาจรัฐหรืออำนาจมหาชนที่อธิบายความชอบธรรมของการกระทำของรัฐด้วยอำนาจทางนามธรรมที่ไม่ชัดเจน  แต่ผลที่เกิดขึ้นกลับเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับที่คาดไว้ กล่าวคือเมื่อรัฐถูกกำหนดให้ดำเนินการตามเป้าหมาย คือความต้องการของส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะโดยผ่านความชอบธรรมของคำว่า “การจัดทำบริการสาธารณะแล้ว รัฐได้รับการสันนิษฐานว่าไม่สามารถทำงานดังกล่าวล้มเหลวได้ แต่จะต้องทำให้งานดังกล่าวสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี[119] อำนาจรัฐซึ่งแฝงอยู่ในรูปบริการสาธารณะจึงได้รับความชอบธรรมและสามารถอธิบายถึงจุดอ่อนที่เคยถูกตำหนิ(ว่าไม่มีขอบเขต)ได้ว่าอำนาจนี้เป็นอำนาจที่มีและใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม  นอกจากนี้ การอธิบายว่ารัฐเองที่ตัดสินใจและเลือกกิจกรรมในการจัดทำบริการสาธารณะ[120] ได้ส่งผลให้อำนาจรัฐเข้มแข็งขึ้นและชอบธรรมมากขึ้น แทนที่จะทำให้การอ้างอำนาจรัฐลดน้อยลง

                                ศาสตราจารย์ ปิแอร์ เดลโวลเว่ (Pierre Delvolvé) แสดงความเห็นไว้ว่า บริการสาธารณะ
ที่เกิดขึ้นนี้พร้อมเต็มที่ที่จะละเมิดเสรีภาพของประชาชน
(service public était potentiallement porteur de menaces contre les libertés publics) [121]  ดังต่อไปนี้

                                ประการแรก บริการสาธารณะที่เกิดขึ้นเป็นข้อความคิดที่ไม่แน่นอน เมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ว่า รัฐเป็นผู้กำหนดหรือตัดสินว่าอะไรคือประโยชน์ส่วนรวม(ที่จะอ้างเพื่อจัดทำบริการสาธารณะ) ดังนั้น บริการสาธารณะ(หรือการใช้อำนาจรัฐ)จึงไม่มีขอบเขตที่จำกัดไว้ (จะใช้เมื่อใด อย่างไร เป็นไปตามการตัดสินใจของรัฐ)

                                บริการสาธารณะจึงอาจเป็นไปตามที่ ดูกีต์(Duguit) กล่าวไว้ในความคิดของเขาว่า มีลักษณะหรือแนวโน้มตามธรรมชาติที่จะขยายตัวออกไปและก่อให้เกิดความเสียหายแก่กิจกรรมในภาคเอกชนได้ (une tendence naturelle à l’extension des services publics et ce au détriment des activités privées) สิ่งนี้แสดงให้เห็นเมื่อบริการสาธารณะมีลักษณะผูกขาด เสรีภาพในการดำเนินการทางเศรษฐกิจ (liberté d’entreprendre) จึงถูกละเมิด  การแปรรูปทีวีช่อง 1 (TF1) ในฝรั่งเศสเมื่อปี 1986 จึงถือเป็นสิ่งหนึ่งที่นำไปสู่เสรีภาพในการติดต่อสื่อสาร (liberté de communication)

                                อย่างไรก็ตาม Evelyne Pisier-Kouchner ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการผูกขาดไว้ว่า ความคิดข้างต้นเป็นการมองแบบลดทอนเสรีภาพของประชาชนที่มีลักษณะทั่วไป(liberté publique en général) และหลากหลายให้มีขอบเขตเพียงแค่เสรีภาพในทางเศรษฐกิจ(liberté économique)  เพราะควรตระหนักว่า การแทรกแซงทางเศรษฐกิจโดยวิธีการทางบริการสาธารณะได้รับรองและประกันเสรีภาพอื่นๆ อย่างถูกต้องเหมาะสมในเวลาเดียวกันด้วยเช่น เสรีภาพในการเคลื่อนไหวเดินทางไปมา (liberté d’aller et venir) (ในกรณีบริการสาธารณะเกี่ยวกับการขนส่ง) หรือสิทธิอื่น ๆ เช่น สิทธิในการเรียกร้องปัจจัยพื้นฐาน (les droits créances) ในบริการสาธารณะเกี่ยวกับการเรียนการสอน การสาธารณะสุข หรือความสงบของสังคม  ในความหมายนี้ จึงไม่แน่นอนเสมอไปว่าเสรีภาพของประชาชนจะถูกคุ้มครองได้ดีหรือไม่ดี ถ้ากิจกรรมที่ดำเนินการอยู่ถูกผูกขาดโดยกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจหรือแม้แต่ไม่มีการผูกขาดในระบบตลาดที่มีอยู่จริง[122]

                                ประการที่สอง บริการสาธารณะจะละเมิดเสรีภาพการจัดทำกิจกรรมในภาคเอกชน โดยเข้าไปช่วยเหลือสนับสนุนการจัดทำกิจกรรม เพื่อทำให้เสรีภาพในการจัดทำกิจกรรมนั้นตกอยู่ภายใต้ข้อบังคับเฉพาะของบริการสาธารณะ ตัวอย่างเช่น การนำสถาบันการสอนในภาคเอกชนไปอยู่ภายใต้ข้อบังคับของบริการสาธารณะเป็นการคุกคามเสรีภาพในเรื่องการเรียนการสอน  อย่างไรก็ดี มีข้อโต้แย้งในประเด็นนี้ว่าการตกอยู่ภายใต้ข้อบังคับดังกล่าว เป็นไปตามเหตุผลของการได้รับความช่วยเหลือทางการเงินที่ผู้รับผิดชอบสถาบันการสอนภาคเอกชนนั้นเองขอไป ไม่ใช่การกระทำโดยตรงของบริการสาธารณะ

                                ประการสุดท้าย ความขัดแย้งในตัวเองของข้อความคิดบริการสาธารณะนั้น มีอยู่แม้กระทั่งในคำจำกัดความที่ถูกเสนอโดยนักทฤษฎีสำนักบริการสาธารณะเอง เช่นความคิดของ แจซ(Jèze) ที่เสนอว่า ความต้องการของส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะจะได้รับการตอบสนองจากการดำเนินการที่มาจากบริการสาธารณะ  ซึ่ง โอรีอู (Hauriou) ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า การอ้างวิธีการตามแนวทางของบริการสาธารณะที่รัฐเป็นผู้จัดทำและเลือก เพื่อต้องการเน้นถึงการใช้เทคนิคพิเศษของกฎหมายมหาชนนั้น เป็นการอ้างอย่างไม่รู้ตัวถึงอำนาจมหาชนที่สำนักบริการสาธารณะคัดค้านมาโดยตลอด 

(2)    ข้อความคิดที่เกณฑ์พื้นฐานแต่ละเกณฑ์ไม่สอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 

                                ในระยะเริ่มแรกแม้ว่าในสายตาของนักทฤษฎี จะเห็นว่าข้อความคิดบริการสาธารณะมีลักษณะสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ในทางปฏิบัติผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าฝ่ายนิติบัญญัติหรือผู้พิพากษาต่างก็มิได้วางแนวทางหรือขอบเขตการใช้ที่แน่นอนให้แก่เกณฑ์พื้นฐานทั้งสามไว้  เกณฑ์ดังกล่าวจึงเกิดการขยายตัวและวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว เมื่อเวลาผ่านไป 

                                (2.1) วิวัฒนาการของเกณฑ์พื้นฐานในแง่องค์กร 

                                ในระยะเริ่มแรก ข้อความคิดบริการสาธารณะได้เกิดขึ้นบนพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างบริการสาธารณะกับบุคคลตามกฎหมายมหาชน ตรงข้ามกับในระยะหลังที่บริการสาธารณะได้ขยายตัวรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างบริการสาธารณะกับบุคคลตามกฎหมายแพ่งด้วย วิวัฒนาการนี้เกิดจาก

ประการแรก สภาแห่งรัฐได้ยอมรับว่า บุคคล(ซึ่งรวมทั้งนิติบุคคลตามกฎหมายแพ่ง) สามารถที่จะเข้ามาดำเนินการหรือจัดทำบริการสาธารณะได้[123]  เช่น บริษัทที่ทำกิจกรรมสอดส่องดูแลและช่วยเหลือสังคมเป็นบริษัทที่ทำกิจกรรมเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะ(Caractère d’intérêt public)  ต่อมาสภาแห่งรัฐได้ยืนยันหลักการนี้อย่างชัดเจน โดยพิพากษาในคดี Caisse primaire«Aide et protection»[124] ว่า สำนักประกันสังคม (Caisse de sécurité sociale) เป็นสถาบันตามกฎหมายแพ่งที่มีหน้าที่ดำเนินการและจัดทำบริการสาธารณะ  คำพิพากษานี้ได้ถูกอ้างอิงและพิพากษาตามกันตลอดมาจนถือเป็นหลักกฎหมายใหม่ของบริการสาธารณะ โดยเฉพาะใช้กับองค์กรต่างๆ ที่ตั้งขึ้นในยุคที่ฝรั่งเศสอยู่ภายใต้การปกครองของเยอรมันและมีเมืองหลวงอยู่ที่ Vichy เช่น คณะกรรมการเกี่ยวกับการจัดองค์กร(les comité d’organisation)[125]  องค์กรวิชาชีพต่างๆ (les ordres professionnels)[126]  กลุ่มจัดตั้งเพื่อการคุ้มครอง(les groupements de défense)[127] ศูนย์ป้องกันและต่อต้านโรคมะเร็ง(Centres de lutte contre le cancer) [128] สมาพันธ์ผู้ล่าสัตว์(les fédérations de chasseurs)[129] และสมาพันธ์กีฬา(les fédérations sportives)[130]

                                มีข้อสังเกตที่ควรตระหนักเสมอว่า กรณีนี้เป็นเรื่องที่บุคคลตามกฎหมายแพ่งไม่ได้เข้าจัดทำบริการสาธารณะแทนรัฐหรือฝ่ายปกครอง บุคคลดังกล่าวจึงถูกสันนิษฐานเบื้องต้นว่าไม่สามารถจะเข้าจัดทำบริการสาธารณะได้ เพราะไม่ใช่บุคคลตามกฎหมายมหาชนและมิได้จัดทำแทนบุคคลตามกฎหมายมหาชน ตามเกณฑ์พิจารณาในแง่องค์กร  ดังนั้น เพื่อที่จะยอมรับการจัดทำบริการสาธารณะของบุคคลตามกฎหมายแพ่ง
สภาแห่งรัฐจะนำเกณฑ์พิจารณาอื่นมาประกอบเสมอ ซึ่งก็คือ การใช้เกณฑ์เกี่ยวกับ “เป้าหมายเพื่อประโยชน์ส่วนรวม หรือเกณฑ์เกี่ยวกับ การใช้เอกสิทธิ์หรืออำนาจเหนือ ในการจัดทำบริการดังกล่าว

                                ในทางตรงข้าม หากเป็นเรื่องที่บุคคลตามกฎหมายแพ่งเข้าจัดทำบริการสาธารณะแทนรัฐหรือฝ่ายปกครอง ความมีอยู่ของความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนผู้จัดทำบริการสาธารณะแทนรัฐกับรัฐหรือองค์กรของรัฐที่มีหน้าที่จัดทำบริการดังกล่าวจะต้องชัดเจนและต่อเนื่อง ในกรณีนี้ส่วนมากเอกชนจะเป็นเรื่องที่ได้รับการคัดเลือกหรือแต่งตั้งให้จัดทำบริการสาธารณะนั้นในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐ เสมือนเป็นองค์กรเฉพาะหรือเครื่องไม้เครื่องมือของรัฐในการจัดทำบริการสาธารณะ ดังนั้น จึงไม่มีปัญหาต้องพิจารณาว่าเอกชนผู้นั้นจัดบริการเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือใช้เอกสิทธิ์ของอำนาจรัฐในการจัดทำบริการหรือไม่(เพราะเกณฑ์ในแง่องค์กรมีความเพียงพอในการให้ความชอบธรรม)  รัฐหรือองค์กรของรัฐจึงมีอำนาจในการสร้าง การยกเลิกหรือกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดองค์กร และการดำเนินงานบริการสาธารณะ รวมทั้ง การฝึกอบรมแนวทางเบื้องต้นในการทำงานแก่เอกชนผู้จัดทำ กล่าวโดยสรุป บริการสาธารณะก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวพันกับอำนาจมหาชนไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม

                                ประการที่สอง รัฐหรือองค์กรของรัฐจะไม่เข้าไปจัดทำบริการสาธารณะต่าง ๆเองโดยตรงแต่จะใช้การทำสัญญาสัมปทานมอบให้เอกชนหรือรัฐวิสาหกิจเข้ามาจัดการแทน ซึ่งเดิมเป็นข้อยกเว้นของหลักกฎหมายปกครอง แต่ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนนักทฤษฎีหลายท่าน[131] ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย เนื่องจากรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มีหน้าที่จัดทำบริการสาธารณะในเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมที่มุ่งกำไร มิได้มีเป้าหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะ  ดังนั้น จึงไม่สมควรให้เข้ามาจัดทำบริการสาธารณะโดยมีสิทธิเรียกร้องหรืออ้างสิทธิพิเศษใด ๆ ได้เหมือนบริการสาธารณะที่รัฐจัดทำ  รัฐวิสาหกิจประเภทนี้เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว และมีจำนวนมากพอสมควร ในกิจการของการธนาคาร เช่น BNP Paris bas, Société générale กิจการประกันภัยต่างๆ เช่น AGF, GAN, UAP หรือกิจการประเภทอุตสาหกรรม เช่น Rénault, Rhône-Poulenc, Elf Aquitaine  ต่อมาเมื่อฝรั่งเศสทำการแปรรูปวิสาหกิจที่จัดทำบริการสาธารณะของรัฐในปี 1986 และปี 1993 รัฐวิสาหกิจที่อ้างว่าจัดทำบริการสาธารณะของรัฐดังกล่าวจึงลดลงอย่างรวดเร็ว 

                                (2.2) วิวัฒนาการของเกณฑ์พื้นฐานในแง่วัตถุประสงค์ของภารกิจ 

                                เกณฑ์วัตถุประสงค์ที่ใช้ประโยชน์สาธารณะเป็นหลักในการพิจารณาความเป็นบริการสาธารณะมีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปเพราะประโยชน์สาธารณะโดยตัวของมันเองแล้ว มีลักษณะพลวัตร
สอดคล้องและเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับบริบทของประวัติศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และสังคมที่ผ่านการพิจารณาและกำหนดโดยรัฐหรืออำนาจมหาชนในแต่ละยุคสมัย  ดังนั้น การใช้ประโยชน์สาธารณะเป็นเกณฑ์จึงมีลักษณะ “อัตวิสัย ซึ่งขึ้นอยู่กับเจตนาของรัฐ

                                ประโยชน์สาธารณะที่เกิดขึ้นและได้รับการยอมรับอาจจะไม่ใช่ประโยชน์สาธารณะในปีก่อน ๆ มาหรือในปีถัดไปก็เป็นได้ เช่น ละครเวที เดิมมีความเห็นของ โอรีอู (Hauriou) ในบันทึกข้อสังเกตท้าย
คำพิพากษาของสภาแห่งรัฐ คดี
Astruc ว่า ละครเวทีเป็นที่รวมของความเสื่อมเสียศีลธรรม แสดงออกถึงความไม่เหมาะสมเนื่องจากทำให้ประชาชนติดอยู่กับจิตนาการ ฝักใฝ่อยู่กับชีวิตที่เพ้อฝัน  อีกทั้งยังกระตุ้นอารมณ์ความรัก เป็นสิ่งที่มีอันตรายเทียบได้กับการติดเกมส์การพนันหรือการดื่มกิน (Le théâtre renferme des éléments de démoralisation, représente l’inconvénient majeur d’exalter l’imagination d’habituer les esprits à la vie factice et fictive et d’exciter les passions de l’amour, lesquelles sont aussi dangereuses que celles du jeu et de l’intempérance)[132]  ต่อมา 30 ปีให้หลัง สภาแห่งรัฐได้ตัดสินว่า กิจกรรมละครเวทีเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับประโยชน์สาธารณะของท้องถิ่น เนื่องจากมีวัตถุประสงค์ที่จะจัดทำบริการที่สืบทอดกันมาในเรื่องของคุณภาพของการแสดงละครเวที... โดยให้ความสำคัญและมุ่งคุ้มครองประโยชน์ทางศิลปะดังกล่าวในกรณีที่ถูกนำไปแสวงหาผลประโยชน์ในทางการค้า (pour but d’assurer un service permanent de représentations théâtrales de qualité [...] en faisant prédominer les intérêts artistiques sur les intérêts commerciaux de l’exploitation)”[133]

                                นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างแสดงให้เห็นว่า ประโยชน์สาธารณะเป็นหลักการที่เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์(contingent) และมีลักษณะสัมพัทธ์(relative) เช่น เดิมการที่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าแทรกแซงดำเนินกิจการทางเศรษฐกิจ ถือว่าเป็นการละเมิดเสรีภาพทางการค้าและอุตสาหกรรมจึงไม่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่ต่อมาสภาแห่งรัฐได้วางหลักกฎหมายใหม่โดยมองการแทรกแซงดังกล่าวเป็นการจัดทำบริการสาธารณะอย่างหนึ่งเพราะเป็นการกระทำที่มุ่งตอบสนองความต้องการส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะ[134]  และยังยอมรับว่าประโยชน์สาธารณะมีได้ในขอบเขตที่หลากหลาย[135] เมื่อมีความต้องการของประชาชนเกิดขึ้นในขณะที่มีความขาดแคลนบริการหรือยังไม่มีการจัดทำบริการดังกล่าวในภาคเอกชน เช่น ในเรื่องการท่องเที่ยว[136]  ในเรื่องภัตตาคาร[137] เรื่องทันตแพทย์[138] หรือความช่วยเหลือทางกฎหมาย[139] 

                                ประโยชน์สาธารณะจึงมีขอบเขตที่ขยายกว้างออกไปและเปิดพร้อมสำหรับการขยายตัวที่ไม่จำกัดของบริการสาธารณะ ผลก็คือว่าประโยชน์สาธารณะกลายเป็นเกณฑ์หรือเป็นมาตรฐานที่กว้างและไม่ชัดเจนพอที่จะเป็นตัวกำหนดลักษณะเฉพาะของบริการสาธารณะ[140]

                                เมื่อยอมรับการแทรกแซงทางเศรษฐกิจโดยการจัดทำบริการสาธารณะในด้านต่าง ๆ ของรัฐหรือองค์กรของรัฐ และความหมายของประโยชน์สาธารณะได้ขยายตัวเปลี่ยนไป  สภาแห่งรัฐได้พยายามใช้เกณฑ์ในเรื่องประโยชน์สาธารณะอย่างเข้มงวดมากขึ้น กล่าวคือจะสันนิษฐานไว้ก่อนว่ากิจกรรมอุตสาหกรรมและ
พาณิชยกรรมเป็นบริการที่สงวนไว้ให้กับบุคคลหรือองค์กรในภาคเอกชน[141] หากว่ากิจกรรมหนึ่ง ๆ จัดทำโดยบุคคลหรือองค์กรภาคเอกชน สภาแห่งรัฐจะค้นหาว่ากิจกรรมนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริงหรือไม่(un intérêt général caracterisé) การขาดลักษณะของประโยชน์สาธารณะที่ชัดเจนพอสมควร จะถูกปฏิเสธถึงความเป็นบริการสาธารณะ เช่น กรณีบริษัทที่จัดแข่งขันวิ่งม้าและการพนันอยู่ในตัว ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะที่ชัดเจนพอสมควร จึงไม่ใช่บริการสาธารณะ[142] ซึ่งรวมทั้งกรณีของบริษัทที่จัดเกมส์
ชิงรางวัล (
la française des jeux)[143]

                                ปัญหาจึงเหลืออยู่แต่เพียงว่า อะไรคือประโยชน์สาธารณะที่จะใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินความเป็นบริการสาธารณะของกิจการหนึ่งๆ  ในเรื่องนี้ สภาแห่งรัฐได้แสดงนัยความคิดเกี่ยวกับความหมายของประโยชน์สาธารณะว่า “ประโยชน์สาธารณะคือประโยชน์ส่วนรวมที่ได้จากการประสานหรือปรับใช้กฎหมายให้สอดคล้องกับสภาพขนบธรรมเนียมประเพณี ความคิดหรือจิตสำนึกของสังคม และวิทยาการทางเทคนิคต่างๆ (ที่มีอยู่ในสังคม) ( [...] cette conception relative de l’intérêt général présente l’avantage d’adapter les pratiques juridiques à l’état des mœurs, des mentalités et des techniques)  ดังนั้น บริการตัวบทกฎหมาย คำพิพากษา และข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายทางอินเตอร์เน็ตในทุกวันนี้ จึงถือเป็นบริการสาธารณะตามนัยของประโยชน์สาธารณะข้างต้น[144] เกณฑ์การกำหนดความหมายว่าสิ่งใดเกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะหรือไม่อย่างตายตัว ตามแนวความคิดของนักทฤษฎีดั้งเดิมจึงไม่สามารถนำมาใช้กับยุคสมัยใหม่ได้ต่อไป 

                                (2.3) วิวัฒนาการของเกณฑ์พื้นฐานในแง่เนื้อหาของกฎหมาย 

                                สำหรับนักกฎหมายสำนักบอร์กโดซ์ การตอบสนองความต้องการของประโยชน์สาธารณะได้เรียกร้องและนำไปสู่ความจำเป็นในการใช้นิติสัมพันธ์ตามกฎหมายพิเศษ(กฎหมายปกครอง) ที่แตกต่างจากนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายธรรมดา(กฎหมายแพ่ง) ในกิจการที่เรียกว่าบริการสาธารณะ แนวความคิดนี้มาจากพื้นฐานความคิดดั้งเดิมของตุลาการผู้แถลงคดี Romieu ในคดี Terrier[145] ที่อ้างถึงบทสันนิษฐานทั่วไปเกี่ยวกับลักษณะของการจัดการภาครัฐ(la gestion publique) และบทสันนิษฐานทั่วไปเกี่ยวกับลักษณะของการจัดการภาคเอกชน(la géstion privée) เพื่อชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างกิจกรรมภาครัฐที่โดยสภาพแล้วอยู่ภายใต้กฎหมายปกครองกับกิจกรรมภาคเอกชนที่โดยสภาพแล้วอยู่ภายใต้กฎหมายแพ่ง สถานะและความแตกต่างทางกฎหมายของกิจกรรมนี้นี่เองที่ทำให้การจัดการภาครัฐเป็นบทสันนิษฐานในแง่เนื้อหาทางกฎหมายของบริการสาธารณะ ซึ่งได้รับการยืนยันอย่างรวดเร็วจากศาลคดีขัดกัน[146] และสภาแห่งรัฐ[147]

                                ต่อมาเกิดการพัฒนาแนวความคิดเกี่ยวกับเนื้อหาของกิจกรรมหรือบริการของรัฐซึ่งเป็นผลจากคำพิพากษาของศาลคดีขัดกัน Bac d’Eloka[148] ว่าในกรณีรัฐอาณานิคมโคต ไอโวรี (Côte-d’Ivoire) จัดทำบริการขนส่งทางเรือภายใต้เงื่อนไขเดียวกับบริการอุตสาหกรรมทั่วไปในภาคเอกชน  กิจกรรมหรือการจัดการภาครัฐดังกล่าวถือเป็นบริการสาธารณะในเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม และอยู่ภายใต้นิติสัมพันธ์ตามกฎหมายแพ่ง ตั้งแต่นั้นมาจึงมีการแบ่งแยกกิจกรรมหรือการจัดการภาครัฐในเชิงอุตสาหกรรมหรือพาณิชยกรรมออกจากกิจกรรมหรือการจัดการภาครัฐในเชิงปกครอง  ซึ่งด้านหนึ่ง ได้ส่งผลให้เกิดการขยายตัวอย่างมากมายของบริการสาธารณะในเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมภาครัฐและการหดหายลงไปเรื่อย ๆของความคิดเรื่องเสรีนิยมดั้งเดิมในทางเศรษฐกิจ(การขยายตัวของความคิดเรื่องการแทรกแซงทางเศรษฐกิจ)  อีกด้านหนึ่ง ความหมายของการจัดการภาครัฐถูกขยายรวมไปถึงการจัดการในเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมด้วย  ดังนั้น การจัดการภาครัฐจึงอาจจะอยู่ภายใต้นิติสัมพันธ์ตามกฎหมายแพ่งเมื่อกิจกรรมมีลักษณะในเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมหรือกฎหมายปกครองเมื่อกิจกรรมมีลักษณะในเชิงปกครอง การใช้เกณฑ์เนื้อหากฎหมายตามบทสันนิษฐานเรื่องการจัดการภาครัฐ จึงไม่สามารถอธิบายถึงความเป็นบริการสาธารณะ(บริการที่อยู่ภายใต้ระบบกฎหมายพิเศษ)ได้อย่างเหมาะสมต่อไป

                                อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตประการสำคัญว่า ในความเป็นจริงแล้วการกล่าวว่าเกณฑ์พื้นฐานในแง่เนื้อหาของกฎหมาย(นิติสัมพันธ์ที่อยู่ใต้กฎหมายพิเศษ(กฎหมายปกครอง))ไม่เหมาะที่จะใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาความเป็นบริการสาธารณะต่อไปนั้น อาจไม่เป็นความจริงทั้งหมด เนื่องจากหากพิจารณาในแง่ของดีกรีหรือระดับความมากน้อยของนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายพิเศษ(กฎหมายปกครอง) ที่มีอยู่ในตัวบริการสาธารณะแล้ว บริการสาธารณะทุกประเภทจะอยู่ภายใต้ระบบกฎหมายพิเศษนี้มากหรือน้อยแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับลักษณะของบริการสาธารณะ  กล่าวคือ บริการสาธารณะที่มีลักษณะทางปกครองโดยแท้จะอยู่ภายใต้นิติสัมพันธ์ตามกฎหมายปกครองเป็นหลัก  อย่างไรก็ตาม บริการสาธารณะประเภทนี้อาจจะมีบางส่วนอยู่ภายใต้นิติสัมพันธ์ตามกฎหมายแพ่งด้วยก็ได้ เช่น หากเป็นกรณีภาคเอกชนเข้าจัดทำบริการสาธารณะประเภทนี้

                                ในทางตรงกันข้าม ระดับของนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายปกครองจะมีอยู่น้อยหรือมีลักษณะเป็นข้อยกเว้นในบริการสาธารณะที่มีลักษณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม  กล่าวคือ โดยหลักแล้วนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคลากรกับบริการสาธารณะประเภทนี้จะอยู่ภายใต้สัญญาจ้างแรงงาน  ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้บริการหรือลูกค้ากับบริการสาธารณะจะเป็นไปตามสัญญาทางแพ่งและพาณิชย์ ส่วนสัญญาระหว่างบริการสาธารณะกับบุคคลภายนอกหรือบุคคลที่สาม เช่น ผู้จัดหาวัสดุอุปกรณ์ จะอยู่ภายใต้นิติสัมพันธ์ตามกฎหมายแพ่งเช่นกัน[149] ยกเว้นกรณีที่สัญญานั้นมีข้อกำหนดพิเศษ(clause d’exorbitant) ที่แตกต่างไปจากหลักกฎหมายแพ่งพาณิชย์ทั่วไปหรือมีวัตถุประสงค์เพื่อบังคับการหรือจัดทำงานโยธาสาธารณะ (Travaux public)  สำหรับกฎเกณฑ์ทางการเงินของบริการสาธารณะประเภทนี้ไม่อยู่ภายใต้บังคับการบัญชีสาธารณะ(Comptabilité publique)ของรัฐ ความรับผิดชอบ (responsabilité) ของบริการเป็นไปตามกฎเกณฑ์ความรับผิดทางกฎหมายแพ่ง ยกเว้นความเสียหายจากงานโยธาสาธารณะที่เกิดแก่บุคคลภายนอก[150] หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจเหนือของรัฐหรือฝ่ายปกครอง(เอกสิทธิ์ของอำนาจมหาชน) เช่น  ความเสียหายจากการใช้อำนาจเวนคืน[151]

                                อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันความมีอยู่ของสัญญาทางปกครองที่ใช้กับนิติสัมพันธ์ในหลายๆ เรื่อง เช่น นิติฐานะของบุคลากรในระดับผู้บริหาร สิทธิครอบครองในทรัพย์สินที่อยู่ในที่ดินสาธารณะประโยชน์ การกำหนดกฎเกณฑ์การจัดองค์กรของการบริการ การใช้อำนาจเหนือของรัฐหรือฝ่ายปกครองหรือกรณีการใช้อำนาจที่สืบเนื่องมาจากหลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะ หลักความเสมอภาคต่อหน้าบริการสาธารณะ หลักการปรับตัวของบริการสาธารณะ เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงลักษณะแน่นอนบางประการของบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมที่ใช้นิติสัมพันธ์ตามกฎหมายพิเศษ(กฎหมายปกครอง) เสมอ ซึ่งอาจมองได้ว่าเป็นข้อยกเว้นของระบบกฎหมายทั่วไป(กฎหมายแพ่ง)ที่ใช้เป็นเนื้อหาหลักในบริการสาธารณะประเภทนี้เช่นกัน 

ระบบกฎหมายพิเศษ(กฎหมายปกครอง)ในบริการสาธารณะทางปกครองโดยแท้รวมทั้งส่วนที่อยู่ในบริการสาธารณะเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมนี้ อธิบายได้เสมอว่าบริการดังกล่าวจะต้องมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำประโยชน์สาธารณะไม่มากก็น้อย

                                นอกจากนี้ ความมีอยู่ของกฎหมายพิเศษ(กฎหมายปกครอง) ในบริการสาธารณะจะแสดงให้เห็นถึงระดับหรือดีกรีของวิธีจัดทำบริการสาธารณะนั้นว่าเป็นการจัดทำโดยการควบคุมเองโดยตรงหรือมอบหมายให้ดำเนินการมากน้อยเพียงใด หรือองค์กรที่จัดทำนั้นเป็นองค์กรฝ่ายปกครองหรือเอกชนที่ได้รับมอบอำนาจมามากน้อยเพียงใดจากฝ่ายปกครอง อีกด้วย

                                กล่าวโดยรวมแล้ว ลักษณะผสมในระบบกฎหมายของบริการสาธารณะหนึ่งๆ ได้สร้างความซับซ้อนอย่างมากให้กับผู้ฟ้องหรือผู้ถูกฟ้อง (justiciable) และผู้ที่มีหน้าที่ตัดสินคดีความในการกำหนดลักษณะของบริการสาธารณะนั้น ๆ  อย่างไรก็ดี สิ่งนี้อาจจะไม่เกิดเป็นประเด็นปัญหาถ้าเราคิดตามแนวคำสอนของแจซ (Jèze) ที่ว่าระบบ (régime) เป็นเพียงผล (consequence) ของการปรับบทหรือการให้ลักษณะทางกฎหมาย (qualification juridique) แก่กิจกรรมที่ถูกสร้างขึ้นโดยอำนาจรัฐ เมื่อการปรับบทหรือให้ลักษณะทางกฎหมายมีความไม่แน่นอนสม่ำเสมอ จะเห็นความจริงที่ว่าระบบ(ซึ่งเป็นผลของการปรับบท)ดังกล่าวเป็นระบบที่ยังไม่แน่นอนระบบหนึ่งที่เปิดช่องให้มีการพิจารณา(ปรับบท)เสมอว่าสิ่งนั้นเป็นบริการสาธารณะหรือไม่  ดังนั้น บริการสาธารณะจึงขึ้นอยู่กับการปรับบทและระบบที่ยังไม่แน่นอนเสมอ ข้อความคิดบริการสาธารณะจึงเริ่มกลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้ 

(3)    ข้อความคิดที่ไม่สามารถเข้าใจได้ 

                                เมื่อย้อนกล่าวไปถึงทฤษฎีในช่วงแรก  บริการสาธารณะเป็นข้อความคิดหรือหลักการ(concept)ที่สามารถเข้าใจได้ และสามารถให้คำจำกัดความอย่างเป็นนามธรรม (abstraite) สอดคล้องเป็นหนึ่ง (unique) และครบถ้วนสมบูรณ์ (complète)โดยใช้เกณฑ์พื้นฐานทั้ง 3 เกณฑ์  ต่อมา วิวัฒนาการที่ทำให้มีการขยายตัวอย่างไม่สอดคล้องกันของเกณฑ์พื้นฐานทั้งสามทำให้บริการสาธารณะไม่สามารถที่จะเป็นข้อความคิดหรือหลักการต่อไปได้ ศาสตราจารย์ จ็อคช เวอเดล(George  Vedel) เรียกบริการสาธารณะที่มีวิวัฒนาการนี้ว่าข้อความคิดที่เป็นแนวทางการใช้(notion fonctionelle)[152] หมายความว่า บริการสาธารณะยังคงมีบทบาทสำคัญบางประการในระบบเครือข่ายของกฎหมายแม้ว่าจะสูญเสียคำนิยามที่แน่นอนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการสาธารณะยังคงเป็นเกณฑ์ที่แน่นอนและจำเป็นสำหรับคำนิยามของกฎหมายปกครองและคดีปกครอง

                                ศาสตราจารย์ดิดิเยร์ ทรูเช่ (Didier Truchet) กล่าวว่า บริการสาธารณะได้กลายเป็นเพียง ยี่ห้อ(label)  หรือเครื่องหมายการค้าที่ให้ความชอบธรรมแก่อำนาจรัฐ หรือเป็นรหัสผ่านที่ตุลาการใช้หรืออ้างเขตอำนาจในคดีที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะด้าน (le service public est devenu un “lebel”, c’est-à-dire une simple étiquette attribuée par les pouvoirs publics ou encore un mot de passe utilisé par le juge dans un certain nombre d’espèces contentieuse) [153]

                                นอกจากนี้ วิกฤตในเรื่องข้อความคิดบริการสาธารณะยังเกิดจากการใช้กฎหมายของตุลาการศาลปกครองเองด้วย จะเห็นได้จากคำกล่าวของตุลาการศาลปกครองเชอโน (Chenot) ว่า[154]  ตุลาการผูกพันอยู่กับการพิจารณาประเด็นข้อพิพาทในคดี งานของตุลาการจึงเป็นงานในเชิงประสบการณ์ที่อาศัยความเชี่ยวชาญในทางปฏิบัติ (empirique) ตัดสินข้อพิพาทตามข้อเท็จจริงเป็นเรื่องๆไป ซึ่งอาจให้ผลไม่สอดคล้องกับหลักการทั้งหลายที่มีอยู่  โดยเฉพาะการใช้ทฤษฎีบริการสาธารณะพิพากษาคดี บริการสาธารณะไม่ได้เป็นแค่เพียง ถ้อยคำ(un mot)  เครื่องมือหรือวิธีการที่ถูกนำมาใช้(un moyen employé) เพื่อกำหนดให้สถานการณ์หรือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอยู่ภายใต้ระบบกฎหมายปกครองอีกต่อไป บริการสาธารณะยังเป็นสิ่งที่มีขอบเขตไม่แน่นอน(แล้วแต่การใช้)อีกด้วย  ในประเด็นนี้ ศาสตราจารย์ ฌอง ริแวโร(Jean Rivero) ได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับทัศนะการใช้กฎหมายของเชอโน (Chenot) เกี่ยวกับทฤษฎีบริการสาธารณะว่า การปฏิเสธทุกคำจำกัดความทางภาวะวิสัย(définition objective) การใช้ความคิดเรื่องบริการสาธารณะในการพิจารณาคดีของตุลาการจึงเสี่ยงที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้[155] การคุ้มครองสิทธิของผู้มีส่วนได้เสียในคดีเป็นหน้าที่อีกด้านหนึ่งในการตัดสินคดี  ดังนั้น ตุลาการจึงต้องค้นหาเกณฑ์ในการพิจารณาอื่น ๆ มาใช้ร่วมกับเกณฑ์เรื่องบริการสาธารณะเพื่อหลีกเลี่ยงการตัดสินโดยอำเภอใจ

                                ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้สภาแห่งรัฐพยายามสร้างเกณฑ์ของข้อความคิดเรื่องบริการสาธารณะขึ้นใหม่โดยยืมหลักการในคำพิพากษาคดี Narcy[156] มาใช้  กล่าวคือ ข้อความคิดเรื่องบริการสาธารณะจะประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ (แม้ว่าองค์ประกอบทั้งสามนี้จะเป็นเพียงเกณฑ์ชั่วคราวและยังไม่เป็นที่ยอมรับทั่วไป) ประการแรก กิจกรรมที่ถูกพิจารณาจะต้องเป็นสิ่งที่ตอบสนองต่อประโยชน์สาธารณะ ประการที่สอง กิจกรรมนั้นได้ดำเนินการภายใต้การควบคุมของอำนาจรัฐ  และประการสุดท้าย มีการใช้อำนาจเหนือ(เอกสิทธิ์ของอำนาจมหาชน)ในกิจกรรมนั้น  อย่างไรก็ตาม เกณฑ์เหล่านี้ก็ดูเหมือนมิได้รับการนำมาใช้เป็นหลักแต่อย่างใด เพราะคำพิพากษาต่อมาของสภาแห่งรัฐได้พิจารณาความเป็นบริการสาธารณะโดยมิได้พิสูจน์ถึงความมีอยู่ของอำนาจเหนือที่ใช้ในบริการที่ถูกพิจารณา[157] ซ้ำยังกล่าวว่า  ลักษณะอำนาจเหนือในกิจกรรมที่ถูกพิจารณาไม่ได้มีผลเกี่ยวกับการกำหนดว่ากิจกรรมใดมีลักษณะเป็นบริการสาธารณะหรือไม่

                                ความจริงแล้ว หากวิเคราะห์ลงไปในหลักการจะเห็นว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องความเข้าใจที่แตกต่างกัน แต่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องบทสันนิษฐานเกี่ยวกับผู้จัดทำบริการสาธารณะที่ตุลาการศาลปกครองยึดถือกันมา กล่าวคือ เมื่อบริการสาธารณะถูกจัดทำโดยฝ่ายปกครองหรือรัฐ ตุลาการมักจะไม่ค้นหาความมีอยู่หรือการใช้อำนาจเหนือในกิจกรรมดังกล่าว เพราะแม้ว่าจะไม่ปรากฏอย่างชัดแจ้งก็สามารถพิจารณาได้จากนัยที่แสดงออกโดยองค์กรผู้จัดทำ ในทางตรงกันข้าม ถ้าบริการสาธารณะนั้นถูกจัดทำหรือดำเนินการโดยองค์กรเอกชน ตุลาการศาลปกครองมักจะค้นหาอย่างที่สุดเพื่อให้ทราบถึงความมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของการใช้อำนาจเหนือในกิจกรรมดังกล่าว เพราะสิ่งนี้เท่านั้นที่จะพิสูจน์ว่าเอกชนเข้าจัดทำกิจกรรมที่ถือว่าเป็นบริการสาธารณะหรือไม่

                                ระบบสันนิษฐานสองด้านที่เป็นหลักกฎหมายนี้ให้คุณแก่ผู้จัดทำบริการสาธารณะที่เป็นองค์กรฝ่ายปกครองหรือรัฐโดยไม่ต้องพิสูจน์ถึงลักษณะการใช้อำนาจเหนือในกิจกรรมที่จัดทำ  ดังนั้น รัฐซึ่งมิได้ใช้อำนาจเหนือใด ๆ นอกจากวิธีการทางแพ่งที่อยู่ภายใต้ระบบกฎหมายแพ่งในการจัดทำบริการอาจได้รับประโยชน์จากบทสันนิษฐานว่าเป็นการจัดทำบริการสาธารณะได้  ในทางตรงข้าม กลับให้ภาระแก่เอกชนผู้จัดทำบริการสาธารณะที่จะต้องพิสูจน์ถึงการใช้อำนาจเหนือแทนรัฐ มิฉะนั้นจะไม่ถือว่าเป็นกิจกรรมที่เป็นบริการสาธารณะ(ปัญหาจึงอาจเกิดขึ้นได้ว่าถ้าเอกชนอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐในการจัดทำบริการสาธารณะจะได้รับประโยชน์จากบทสันนิษฐานข้างต้นโดยไม่ต้องพิสูจน์ความมีอยู่ของการใช้อำนาจเหนือหรือไม่ เช่น โดยได้รับการมอบหมายมา หรือกระทำการเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรฝ่ายปกครองของรัฐ)

                                ดังนั้น  จึงมีความจำเป็นที่จะกลับด้านที่เหลือของบทสันนิษฐานเพื่อพิสูจน์ด้วยว่าในบางกรณีรัฐได้ใช้อำนาจเหนือจัดทำบริการสาธารณะหรือไม่  หรือในกรณีกลับกันหากเอกชนผู้จัดทำกิจกรรมดังกล่าวได้รับการคัดเลือกเข้าจัดทำงานที่มีวัตถุประสงค์ 

เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือได้รับมอบหมายให้ใช้เอกสิทธิ์ของอำนาจมหาชน ก็ควรได้รับประโยชน์จากบทสันนิษฐานตามเกณฑ์ในแง่ขององค์กรเนื่องจากถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐด้วย  อย่างไรก็ตาม โดยสรุปสภาแห่งรัฐก็ไม่ได้ยกเลิกหลักกฎหมายนี้ทั้ง ๆ ที่สามารถจะสร้างหลักกฎหมายนี้ใหม่ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ได้

2.     ปัญหาการไม่สามารถกำหนดแนวทางการใช้

                                แม้ว่าบริการสาธารณะจะเป็นสิ่งที่ถูกนำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการกำหนดเขตอำนาจของศาลปกครองและแสดงลักษณะพื้นฐานของกฎหมายปกครองเสมอมาก็ตาม  แนวทางการใช้ดังกล่าวก็ยังมีลักษณะอุดมคติอยู่ เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว ด้านหนึ่งเกณฑ์เรื่องบริการสาธารณะแสดงบทบาทสำคัญของตนได้เฉพาะในการกำหนดเขตอำนาจของศาลปกครอง แต่ก็มิได้เป็นเกณฑ์ความคิดเดียวที่ถูกใช้หรือใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพทุกกรณี ยังคงมีเกณฑ์หรือความคิดในเรื่องอื่นที่ถูกนำมาใช้กำหนดเขตอำนาจของศาลปกครอง 
อีกด้านหนึ่ง ลักษณะพิเศษของกฎหมายปกครองฝรั่งเศสทำให้บทบาทของเกณฑ์เรื่องบริการสาธารณะในการกำหนดลักษณะพื้นฐานของกฎหมายปกครองถูกโต้แย้งแข่งขันจากเกณฑ์ความคิดอื่นเช่นกัน

 

(1)   บริการสาธารณะไม่ใช่แนวทางการใช้ที่มีประสิทธิภาพแนวทางเดียวในการกำหนดเขตอำนาจของศาลปกครอง

 

                                คำพิพากษาของสภาแห่งรัฐได้แสดงให้เห็นถึงการใช้แนวความคิดอื่น ๆ นอกจากแนวความคิดบริการสาธารณะในการกำหนดเขตอำนาจของตนมาเป็นเวลานานแล้ว แนวความคิดเหล่านี้ได้แก่

 

                                (1.1) แนวความคิดเรื่องเอกสิทธิ์ของอำนาจมหาชน (Prérogatives de  puissance publique)

 

แนวความคิดนี้เป็นเกณฑ์ที่ใช้โดยตรงกับเรื่องที่มีประเด็นต้องแยกแยะความแตกต่างระหว่างองค์กรมหาชนอิสระทั่วไป(établissements publics) กับองค์กรมหาชนอิสระที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการประกาศใช้ที่ดินเพื่อประโยชน์สาธารณะในการเวนคืนหรือการโยธาสาธารณะ(établissements d’utilité publique)[119] ต่อมาแนวคิดเรื่องเอกสิทธิ์อำนาจมหาชนถูกนำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาเกี่ยวกับบริการสาธารณะทางภาษีเพื่อกำหนดจุดเกาะเกี่ยวระหว่างข้อพิพาททางภาษีของบริการดังกล่าวกับเขตอำนาจของศาลปกครอง[120]

 

                                (1.2) แนวความคิดเรื่องข้อกำหนดพิเศษที่แตกต่างจากข้อกำหนดตามสัญญาทั่วไปในหลักกฎหมายแพ่ง (Clauses exorbitantes du droit commun )

 

                                แนวความคิดนี้เป็นเกณฑ์ที่แยกออกมาจากเกณฑ์เรื่องเอกสิทธิ์ของอำนาจมหาชน เพราะเป็นเรื่องการกำหนดให้ฝ่ายปกครองมีสิทธิพิเศษบางประการ(หรือมีอำนาจเหนือ) โดยข้อกำหนดของสัญญาที่ไม่สามารถมีได้ตามหลักสัญญาทั่วไปทางแพ่ง ความคิดนี้จึงเป็นเกณฑ์ที่ใช้กำหนดเขตอำนาจของศาลปกครองเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง[121](Contrat administratif)

 

                                (1.3) แนวความคิดเรื่องสถานการณ์หรือกิจกรรมที่สามารถจะเทียบได้กับสถานการณ์หรือกิจกรรมของเอกชน (Situations ou des activités sont comparables à celles de particulier)

 

ความคิดนี้ใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าบริการใดจะมีลักษณะเป็นบริการสาธารณะในเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม[122]

 

                                (1.4) แนวความคิดเรื่อง ฐานทางรัฐธรรมนูญของกฎหมายปกครอง (Les basses constitutionnelles du droit administratif)[123] 

 

ศาสตราจารย์จอคช เวอเดล (George VEDEL) ได้เสนอเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า รัฐธรรมนูญ
จะสงวนคดีที่โต้แย้งเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของฝ่ายปกครองโดยเฉพาะในเรื่องคดีฟ้องขอให้เพิกถอนการใช้อำนาจโดยมิชอบ(
l’excés de pouvoir) ให้แก่ตุลาการศาลปกครอง เนื่องจากมีการใช้อำนาจเหนือหรือเอกสิทธิ์ของอำนาจมหาชน[124] หลักการนี้ได้รับการยืนยันในคำพิพากษาของตุลาการรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสที่ DC., 23 มกราคม 1987, Conseil de la Concurrence  อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ก็มิได้ห้ามการใช้เกณฑ์ทางกฎหมายอื่นโดยเฉพาะเกณฑ์ที่ใช้ทฤษฎีบริการสาธารณะเป็นตัวกำหนดเขตอำนาจของศาลปกครอง เพียงแต่จะต้องรองรับเกณฑ์ดังกล่าวเป็นตัวบทกฎหมายเสียก่อน เพื่อให้สอดคล้องกับฐานทางรัฐธรรมนูญของกฎหมายปกครอง

 

                                (1.5) แนวความคิดเรื่องเอกสิทธิ์ของอำนาจมหาชนคู่กับบริการสาธารณะ

 

                                ศาสตราจารย์ โมริซ โอรีอู (Maurice Houriou) ได้เสนอเกณฑ์เรื่องนี้เพื่อใช้พิจารณาว่า การกระทำของเอกชนนั้นมีลักษณะเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวทางปกครอง (l’actes administratifs unilatéraux prix par une personne privée)[125] ในการจัดทำบริการสาธารณะหรือไม่

 

โดยสรุป เกณฑ์หรือความคิดเรื่องบริการสาธารณะได้ลดบทบาทสำคัญของตัวเองลงเป็นเพียงบทสันนิษฐานเขตอำนาจของศาลปกครอง บทสันนิษฐานนี้จะถูกยืนยันเมื่อกิจกรรมหรือบริการที่เป็นคดีมีการใช้อำนาจเหนือหรือเอกสิทธิ์ของอำนาจมหาชน ในทางตรงข้าม หากไม่มีการใช้อำนาจเหนือทางปกครองและกิจกรรมหรือบริการนั้นมีลักษณะตามกฎหมายแพ่งทั่วไป กรณีดังกล่าวจะอยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม  ลักษณะผลสองด้านที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลสะท้อนของความซับซ้อนทางเทคนิคของกฎหมายปกครอง

 

(2)   บริการสาธารณะไม่ใช่แนวทางการใช้ที่มีประสิทธิภาพแนวทางเดียวในการกำหนดลักษณะของกฎหมายปกครอง

                                เมื่อพิจารณาถึงลักษณะทางกฎหมาย เกณฑ์เรื่องบริการสาธารณะไม่สามารถใช้เป็นเกณฑ์ที่สมบูรณ์แบบของกฎหมายปกครองในทางทฤษฎีได้ เพราะว่าโดยเนื้อแท้ของบริการทุกประเภทไม่ได้มีลักษณะของกฎหมายในตัวของมันเอง เกณฑ์บริการสาธารณะจึงถูกโต้แย้งโดยนำไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์การกระทำของฝ่ายปกครองที่เรียกว่าการกระทำในทางตำรวจทางปกครอง (police administrative)[126] ซึ่งเป็นการกระทำที่ได้รับการยอมรับว่าโดยตัวของมันเองเป็นกฎเกณฑ์(prescription) หรือเป็นการจัดระเบียบ(réglementation) ทางการปกครอง(กฎหมายปกครอง) เพื่อประกันและรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม(l’ordre public) ตรงข้ามกับบริการสาธารณะที่เป็นเพียงผลประโยชน์หรือการบริการ(prestation)[127]  ทางการปกครอง(ซึ่งต่อมาได้ขยายตัวรวมไปถึงทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม) 

การโต้แย้งเกณฑ์เรื่องบริการสาธารณะยังถูกแสดงออกในเรื่องการปรับใช้ เช่น การจัดการเกี่ยวกับที่ดินเอกชนโดยองค์กรของรัฐไม่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นการจัดทำบริการสาธารณะ ตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ (droit positif) ทั้ง ๆ  ที่ในทางทฤษฎีถือว่ามีลักษณะเสมือนการจัดทำบริการสาธารณะอยู่ด้วย หรือในกรณีการจัดการเกี่ยวกับที่ดินสาธารณะโดยองค์กรของรัฐ แม้จะมีผลให้ปรับใช้หลักกฎหมายปกครองทันทีเมื่อที่ดินพิพาทดังกล่าวมีเพื่อใช้โดยตรงกับส่วนรวม เกณฑ์บริการสาธารณะก็ไม่ถูกอ้างหรือนำมาใช้เช่นกัน (ทั้งสองกรณี : กรณีแรกใช้เกณฑ์ตามกฎหมายพิเศษเฉพาะเรื่อง  ส่วนกรณีที่สองใช้เกณฑ์วัตถุประสงค์หรือ ประโยชน์สาธารณะ กำหนดการบังคับใช้หรือลักษณะของกฎหมายปกครอง)  นอกจากนี้เมื่อพิจารณาว่ากฎหมายปกครองฝรั่งเศสเป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานของหลักกฎหมายตามคำพิพากษา(jurisprudence) เพราะฉะนั้นแม้ว่าการใช้เกณฑ์ทางกฎหมายเกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่ง เช่น เกณฑ์บริการสาธารณะจะมีข้อบกพร่องและไม่แน่ชัดศาลก็มีความจำเป็นอยู่เองที่จะอ้างแนวคำพิพากษาหรือเกณฑ์ทางกฎหมายอื่นเพื่อที่จะจำกัดหรือนิยามเกณฑ์ดังกล่าว ประกอบกับศาลเองก็มีหน้าที่ตัดสินปัญหาที่เกิดขึ้น มิได้มีหน้าที่สกัดหลักการหรือเกณฑ์ทั่วไปให้มีลักษณะนามธรรมสอดคล้องและเป็นระบบ ศาลจึงมีอิสระที่จะใช้ทั้งเกณฑ์เรื่องบริการสาธารณะตลอดจนเกณฑ์อื่นๆ ที่สามารถนำมาตัดสินให้เกิดความเป็นธรรมที่สุดได้  ดังนั้น โดยสภาพของกฎหมายปกครอง เกณฑ์บริการสาธารณะจึงหลีกไม่พ้นที่จะถูกโต้แย้งแข่งขันจากเกณฑ์อื่นๆ ในการกำหนดลักษณะของกฎหมายปกครอง

                                ข้อพิจารณาเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ศาสตราจารย์เรอเน่ ชาปู(René CHAPUS) เสนอรูปแบบการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเกณฑ์หรือข้อความคิดของกฎหมายปกครอง โดยมุ่งที่จะแยกกฎหมายปกครองในฐานะเป็นกฎหมายในการปกครองหรือการบริหารงานภาครัฐ (le droit de l’administration) ซึ่งหมายถึงกฎเกณฑ์ทั้งหลายทางเนื้อหาที่จะบังคับใช้กับการดำเนินงานในทางปกครอง (les règles de fond applicable à l’administration) ออกจากกฎหมายเกี่ยวกับข้อพิพาททางปกครอง(contentieux administratif) ซึ่งมีความหมายถึงกฎเกณฑ์ทั้งหลายที่ถูกปรับใช้ในการตัดสินปัญหาโดยผู้พิพากษาศาลปกครอง(les règles applicable par le juge administratif)

                                กฎหมายที่จะบังคับใช้กับการดำเนินงานทางปกครองเป็นกฎหมายปกครองที่ถูกกำหนดโดยเกณฑ์หรือความคิดเรื่องบริการสาธารณะ(โดยไม่สนใจว่าบางลักษณะของการใช้กฎหมายดังกล่าวไม่สามารถที่
จะถูกพิจารณาหรืออยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง) ส่วนกฎหมายเกี่ยวกับข้อพิพาททางคดีปกครองจะอยู่บนพื้นฐานหรือเกณฑ์ความคิดในเรื่องการใช้อำนาจเหนือหรือเอกสิทธิ์ของอำนาจมหาชนที่ฝ่ายปกครองแสดงออกมา
[128]

                                แนวความคิดของศาสตราจารย์ชาปูแม้จะช่วยให้เห็นภาพและพยายามจะจัดระบบเกณฑ์หรือความคิดหลักของกฎหมายปกครองแต่ก็เกิดความยากลำบาก ดังนี้

                                ประการแรก จะมีเกณฑ์อื่นในการกำหนดเขตอำนาจของศาลปกครองนอกจากเกณฑ์เรื่องอำนาจเหนือหรือเอกสิทธิ์ของอำนาจมหาชนหรือไม่ ปัญหานี้สืบเนื่องมาจากการแบ่งแยกเกณฑ์ของกฎหมายปกครองทางเนื้อหากับเกณฑ์ของกฎหมายปกครองทางคดี กล่าวคือ บริการสาธารณะที่ถูกจัดทำขึ้นตามกฎหมายที่กำหนดการดำเนินงานของฝ่ายปกครองย่อมมีลักษณะหรืออยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายปกครองเสมอ แต่อย่างไรก็ตามอาจจะไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง เมื่อบริการสาธารณะดังกล่าวไม่มีลักษณะการใช้อำนาจเหนือของฝ่ายปกครอง  ความเป็นกฎหมายปกครองในทางเนื้อหาของบริการสาธารณะจึงไม่ได้หมายความเสมอไปว่าจะอยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง(เป็นกฎหมายปกครองในทางคดี) ซึ่งก็ดูจะขัดต่อจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้การกระทำหรือบริการที่แสดงลักษณะของกฎหมายปกครองอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ในประเด็นนี้ศาสตราจารย์ชาปูเห็นว่ามีความไม่เข้ากันของเกณฑ์ทั้งสองอยู่ ซึ่งก่อให้เกิดความลักลั่นในคดีปกครองได้จริง ดังนั้น จึงเสนอเพิ่มเติมให้มีการกำหนดเป็นแนวทางเดียวกันว่า คดีพิพาทเกี่ยวกับบริการสาธารณะทั้งหลายจะต้องอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองด้วย แม้ว่าในคดีดังกล่าวจะไม่ปรากฏการใช้อำนาจเหนือของรัฐหรือฝ่ายปกครอง

                                ประการที่สอง ในขณะที่รอผลการใช้บทสันนิษฐานข้างต้น ความแตกต่างระหว่างบริการสาธารณะกับกฎหมายปกครองกลับมีมากขึ้นเรื่อย ๆ กล่าวคือเกิดการขยายตัวของบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมซึ่งอยู่ภายใต้บังคับของการจัดการในลักษณะเอกชนตามกฎหมายแพ่งขึ้นมาโต้แย้งการใช้เกณฑ์บริการสาธารณะในการกำหนดเนื้อหาของกฎหมายปกครองและเขตอำนาจของศาลปกครอง สิ่งนี้ได้แสดงนัยความหมายของบริการสาธารณะที่ถูกขยายออกและสะท้อนให้เห็นอย่างสมบูรณ์ว่าเกณฑ์เรื่องบริการสาธารณะนั้นไม่สามารถจะถูกกำหนดแนวทางการใช้ให้ชัดเจนอีกต่อไป เนื่องจากสูญเสียความหมายและการใช้ดั้งเดิม

 

3.     ปัญหาการไม่สามารถกำหนดระบบกฎหมาย

                                ในยุคสมัยใหม่บริการสาธารณะเป็นสิ่งที่ยากจะอธิบายให้เป็นระบบกฎหมายสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างชัดเจนแน่นอนและเฉพาะด้าน เนื่องจาก ประการแรก บริการสาธารณะได้แยกออกเป็นสองประเภท คือบริการสาธารณะทางปกครองและบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม ประการที่สอง ผลจากการแยกบริการสาธารณะออกเป็นสองประเภททำให้หลักกฎหมายทั่วไปของบริการสาธารณะและผลทางกฎหมายเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมด้วย

 

(1)   บริการสาธารณะกลายเป็นระบบคู่ : การแยกความแตกต่างระหว่างบริการสาธารณะทางปกครองกับบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม

                                การเกิดขึ้นของบริการสาธารณะในทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม น่าจะมีที่มาจาก
คำพิพากษาคดีขัดกันเรื่อง
Société commercial de l’ouest Africain[129] แต่ก็ไม่ได้กล่าวถึงหลักการดังกล่าวไว้
อย่างชัดเจนแต่อย่างใด  ในความเป็นจริงอาจจะพูดได้ว่าบริการสาธารณะประเภทนี้เป็นผลจากการตีความของ
นักทฤษฎี ได้แก่ ลาโฮค(
Laroque ) ฌอง เดลโวลเว่(Jean Delvolvé) และ บงนาร์ค (Bonnard) และคำแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดี มัตเต้( Matter) ในคดี Bac d’Eloka[130]  อย่างไรก็ตาม สภาแห่งรัฐได้ใช้คำว่าบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและหรือพาณิชย์กรรมโดยตรงในคดี Société générale d’armement[131] ซึ่งเป็นคำนิยามที่ใช้อยู่ในระบบกฎหมายทุกวันนี้  โดยได้พิจารณาแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างบริการสาธารณะทางปกครองกับบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมอย่างชัดเจน รวมทั้งลักษณะและผลทางกฎหมายที่แตกต่างกันของบริการทั้งสองประเภทด้วย

ประการแรก ในเรื่องนิติสัมพันธ์ของบุคคลต่าง ๆ ในบริการสาธารณะ ซึ่งได้แก่ ผู้จัดทำ ผู้ใช้บริการ และบุคคลภายนอกนั้น ความสัมพันธ์ของบุคคลเหล่านี้ในบริการสาธารณะทางปกครองจะอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายปกครอง ในขณะที่ความสัมพันธ์ดังกล่าวในบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมจะอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 

ประการที่สอง ซึ่งเป็นผลจากประการแรกก็คือศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาข้อพิพาทเกี่ยวกับบริการสาธารณะทางปกครองได้แก่ศาลปกครอง และข้อพิพาทเกี่ยวกับบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมย่อมได้แก่ศาลยุติธรรม

                                การแบ่งแยกโดยหลักกฎหมายตามคำพิพากษา (jurisprudence) นี้มีความชัดเจนพอสมควรอยู่ในตัว อย่างไรก็ตามในเรื่องของเกณฑ์หรือความคิดที่ใช้ในการแบ่งแยกบริการสาธารณะทั้งสองกลับมีความไม่ชัดเจนอยู่ โดยแบ่งออกเป็นสองกรณีคือ

                กรณีแรก  การพิจารณาลักษณะและประเภทของบริการสาธารณะที่ถูกกำหนดโดยตัวบทกฎหมาย (texte) 

ตัวบทกฎหมายที่กำหนดลักษณะของบริการสาธารณะเฉพาะเรื่องมีน้อยมาก ที่เห็นได้ชัด
คงได้แก่มาตรา
L.2224-11 ของ Code générale des collectivités territoriales เรื่อง บริการสาธารณะเกี่ยวกับการ
ทำความสะอาดและจัดเก็บขยะมูลฝอยของท้องถิ่น ในทางตรงกันข้ามกลับมีตัวบทกฎหมายจำนวนมากที่กำหนดลักษณะหรือประเภทขององค์การมหาชนอิสระ(
Etablissement public)ในทางปกครอง หรือในทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมที่พอจะเอื้อให้สันนิษฐานลักษณะของบริการสาธารณะได้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ[132]  ดังนั้น ในทางปฏิบัติศาลจะพิจารณาลักษณะของบริการสาธารณะที่ถูกกำหนดโดยตัวบทกฎหมายใน 2 แนวทาง คือ แนวทางแรก หากกฎหมายที่กำหนดลักษณะขององค์การมหาชนอิสระนี้มีความชัดเจนและอยู่ในรูปของพระราชบัญญัติ ศาลมักจะผูกพันตัวเองพิจารณาลักษณะและประเภทของบริการสาธารณะตามพระราชบัญญัตินั้น ๆ  แนวทางที่สอง หากกฎหมายที่กำหนดลักษณะขององค์การมหาชนอิสระเป็นพระราชกฤษฎีกา ศาลจะไม่ผูกพันตามพระราชกฤษฎีกาและมักพิจารณาประเภทและลักษณะขององค์การดังกล่าวตามลักษณะความเป็นจริงของบริการหรือกิจกรรมที่จัดทำ[133] เช่น กองทุนเกี่ยวกับการอบรมแนะนำและจัดระเบียบตลาดการค้าเกษตรกรรม(Le fonds d’orientation et de régulation des marchés agricoles : FORMA) มีลักษณะสองด้านที่ตรงกันข้ามกัน กล่าวคือ ถูกกำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาให้มีลักษณะขององค์การมหาชนอิสระทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม แต่ในความเป็นจริงเป็นองค์การมหาชนอิสระที่ดำเนินกิจกรรมเพื่อเป้าหมายในทางปกครอง  ดังนั้น ข้อพิพาทที่เกิดจากกิจกรรมดังกล่าวจึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง

                                มีข้อน่าสังเกตว่า องค์การมหาชนอิสระจำนวนมากมีลักษณะทั้งสองด้านในตัวเอง หมายความว่า องค์การมหาชนอิสระนั้นสามารถจัดทำทั้งบริการสาธารณะทางปกครองและบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม เช่น การท่าเรือ(Ports autonomes)[134] หรือการท่าอากาศยานปารีส (L’aéroport  de Paris)[135] การที่ศาลเข้ามากำหนดลักษณะที่แท้จริงเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ขององค์การมหาชนเหล่านี้จึงมีลักษณะที่จำเป็นและมีเหตุผลอยู่ในตัว

                                กรณีที่สอง การพิจารณาลักษณะและประเภทของบริการสาธารณะในกรณีที่ไม่มีตัวบทกฎหมายกำหนดไว้

                        หลักกฎหมายตามแนวคำพิพากษาของสภาแห่งรัฐจะอ้างอิงเกณฑ์การพิจารณาตามคำแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดี โลฮองต์ (Laurent) ในดคี Union syndicale des industries aéronautiques)[136] เกณฑ์การพิจารณานี้สันนิษฐานบริการสาธารณะที่พิพาทว่าเป็นบริการสาธารณะทางปกครอง ถ้าเกณฑ์ทั้งสามประการ คือ วัตถุประสงค์ เงื่อนไขทั่วไปของการดำเนินงาน และวิธีการทางการเงินของบริการไม่มีลักษณะใกล้เคียงกับเกณฑ์ทั้งสามของบริษัทในภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม แต่ละเกณฑ์มีจุดด้อยดังนี้

                เกณฑ์ในเรื่องวัตถุประสงค์ วางอยู่บนความคิดที่ว่า ลักษณะของกิจกรรมที่มุ่งตอบสนองประโยชน์สาธารณะจะถูกใช้อย่างสอดคล้องกับลักษณะขององค์กรของรัฐหรือฝ่ายปกครองผู้จัดทำ  ตามเกณฑ์นี้ หากกิจกรรมที่จัดทำหมายความรวมถึงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจอธิปไตยด้วยแล้ว เกณฑ์ทางด้านวัตถุประสงค์นี้ก็จะไม่สามารถใช้พิจารณากับกิจกรรมอื่นๆอีกจำนวนมากมายที่ไม่สามารถแยกขาดจากการจัดการโดยภาคเอกชน เช่น การจัดส่งหรือจัดจำหน่ายน้ำใช้ การบริหารโรงละคร หรือการขนส่งทางเรือ

                เกณฑ์ในเรื่องเงื่อนไขทั่วไปของการดำเนินงาน สภาพการผูกขาดสิทธิหรือผูกขาดระบบในการแสวงหาผลประโยชน์โดยรัฐ เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงลักษณะของบริการสาธารณะทางปกครอง อย่างไรก็ดี บริการสาธารณะบางประเภท เช่น การรถไฟ(SNCF) หรือการไฟฟ้า(EDF) ซึ่งมีลักษณะผูกขาดเช่นกัน กลับมีลักษณะของบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม นอกจากนี้ยังมีบริการสาธารณะอื่น ๆ ที่รัฐดำเนินการเอง แต่ถูกตัดสินว่ามีลักษณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม[137]

                เกณฑ์ในเรื่องวิธีการทางการเงิน เป็นเกณฑ์สำคัญเหนือเกณฑ์อื่นๆที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาข้อถกเถียง กล่าวคือ หากแหล่งเงินทุนของบริการสาธารณะมาจากค่าใช้บริการของผู้ใช้ที่เป็นค่าตอบแทนการจัดทำบริการดังกล่าวเป็นหลัก บริการนั้นก็จะมีลักษณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม ในทางตรงกันข้าม ถ้าแหล่งเงินทุนนั้น โดยหลักแล้วมาจากเงินช่วยเหลือสนับสนุนหรือจากรายได้ทางภาษีของรัฐ บริการดังกล่าวก็จะมีลักษณะทางปกครอง  อย่างไรก็ตาม มีคำพิพากษาของศาลคดีขัดกัน[138] ที่พิจารณาว่าแม้การจัดทำบริการสาธารณะเกี่ยวกับการจัดสรรจำหน่ายน้ำใช้จะได้รับค่าใช้บริการตอบแทนต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในบริการที่เป็นจริง บริการดังกล่าวก็ยังเป็นบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม

                กล่าวโดยสรุป ความไม่แน่นอนของเกณฑ์หรือข้อความคิดในการแบ่งแยกประเภทของบริการสาธารณะยังคงมีอยู่แม้แต่ในเรื่องของบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม เนื่องจากการใช้เกณฑ์ในการแบ่งแยกเหล่านี้จะให้ผลเต็มที่ก็ต่อเมื่อบริการที่ถูกพิจารณามีลักษณะเป็นไปตามลักษณะทางภาวะวิสัยของเกณฑ์เท่านั้น (เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยไม่มีสิ่งอื่นรวมเข้ามาให้พิจารณา) ซึ่งก็ต่างจากความเป็นจริงในสังคมที่แสดงให้เห็นว่า บริการสาธารณะหนึ่ง ๆ เช่น การขนส่งทางเรืออาจจะถูกพิจารณาเป็นบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม (กรณีการขนส่งทางเรือคดี Bac d’Eloka  ) หรือถูกพิจารณาเป็นบริการสาธารณะทางปกครองก็ได้ (กรณีการขนส่งทางเรือตามคำพิพากษาของศาลสูงประเทศ ไอโวรี่โคต(Côte-d’Ivoire ในขณะที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส) หรือบริการขนส่งทางเรือของเกาะเร (L’île de Ré) ตามคำพิพากษาของสภาแห่งรัฐ 10 พฤษภาคม 1974 คดี Denoyez et Chorques)  มีข้อน่าสังเกตเพิ่มเติมว่า โดยทั่วไปแนวทางของหลักกฎหมายตามคำพิพากษาของสภาแห่งรัฐ (jurisprudence) จะมุ่งจำกัดลักษณะของบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม เมื่อมีปัญหาความยากลำบากในการแยกประเภทและลักษณะของบริการสาธารณะ นอกจากนี้ก็มี
คำพิพากษาของศาลคดีขัดกัน
[139] ที่ตัดสินว่าองค์การโทรศัพท์ของฝรั่งเศสมีลักษณะเป็นบริการสาธารณะทางปกครอง แม้ว่าการดำเนินการส่วนใหญ่จะอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายแพ่ง  แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตามการแบ่งแยกบริการสาธารณะทางปกครองออกจากบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมยังคงมีบทบาทในการกำหนดทิศทางกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเสมอ

 

(2)   หลักกฎหมายทั่วไปของบริการสาธารณะเปลี่ยนรูปไป

                หลักกฎหมายทั่วไปของบริการสาธารณะถูกกำหนดโดยหลักการพื้นฐานสามประการ คือ หลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะ หลักความเสมอภาคต่อหน้าบริการสาธารณะ และหลักการปรับตัวของบริการสาธารณะ วิวัฒนาการของลักษณะและประเภทของบริการสาธารณะทำให้หลักกฎหมายดังกล่าวไม่เพียงพอที่จะเป็นหลักกฎหมายทั่วไปของบริการสาธารณะต่อไป เนื่องจากกิจกรรมหลายประเภทที่มีลักษณะทางกฎหมายแพ่งล้วน ๆ กลับได้แสดงให้เห็นถึงหลักการทั้งสามได้โดยไม่จำต้อง เป็นหรือ อยู่ในรูป ของบริการสาธารณะ เช่น บริษัทโคคาโคล่า (Coca Cola) สภาพดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีถึงการสูญเสียสถานะพิเศษของหลักการทั้งสามในระบบกฎหมายทั่วไปของบริการสาธารณะ  ยิ่งไปกว่านั้น ในทางปฏิบัติการใช้หลักการทั่วไปทั้งสามยังได้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างไปจากหลักการที่มีมาแต่ดั้งเดิมอีกด้วย[140]

                ประการแรก การใช้หลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะโดยตัวของมันเองไม่ตอบสนองกับทฤษฎีความต้องการของส่วนรวมที่จำเป็นต้องต่อเนื่องสม่ำเสมอ เนื่องจากกฎเกณฑ์ดังกล่าวจะถูกปฏิเสธทันทีเมื่อมีการประท้วงนัดหยุดงาน ทำให้ระบบบริการสาธารณะหนึ่ง ๆ เกิดอัมพาตทั้งหมด เช่น บริการสาธารณะเกี่ยวกับการขนส่ง สิ่งนี้ยิ่งมีความชัดเจนมากขึ้นเมื่อสภาผู้แทนราษฎร ไม่ต้องการที่จะร่างกฎหมายเกี่ยวกับการประท้วงนัดหยุดงานให้เป็นระบบเดียวกันทั้งหมดเพื่อประสานและประนอมสิทธินัดหยุดงานดังกล่าวกับ
หลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะ
[141]  นอกจากนี้หลักเรื่องบริการสาธารณะขั้นต่ำในกรณีที่มีการประท้วง
นัดหยุดงานก็มีอยู่อย่างเฉพาะและจำกัดตามกฎหมายแต่ละเรื่อง เช่น ในเรื่องบริการสาธารณะเกี่ยวกับสุขภาพ เรื่องความปลอดภัยเกี่ยวกับการกำหนดทิศทางเกี่ยวกับการจราจรทางอากาศ  และมีเพียง
loi n° 63-777 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 1963 บังคับให้มีการแจ้งล่วงหน้า 5 วันก่อนการนัดหยุดงาน หรือห้ามมิให้มีการหยุดงานทั้งหมดในกิจการประท้วงนั้น ๆ (ซึ่งส่วนมากจะมีการฝ่าฝืนเสมอ)

                ประการที่สอง การใช้หลักความเสมอภาคต่อหน้าบริการสาธารณะในฝรั่งเศสก่อให้เกิดความคิดที่ว่าบริการสาธารณะที่เป็นเครือข่ายคมนาคมจะต้องให้ความเท่าเทียมกันในอัตราค่าโดยสาร(péréquation des tarifs) (หมายความว่า ผู้ใช้บริการแต่ละคนจะต้องจ่ายในอัตราค่าโดยสารเดียวกันสำหรับบริการหรือผลประโยชน์ที่เหมือนกัน แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันเกี่ยวกับสภาพภูมิประเทศหรือหนทาง เช่น ผู้ใช้เส้นทางรถไฟที่มีระยะทางเท่ากับระยะทางจากปารีส-ลียง จะต้องจ่ายค่ารถไฟในอัตราเดียวกัน แม้ว่าคนใดคนหนึ่งจะต้องเดินทางไปในเส้นทางที่ทุรกันดารยากลำบากหรือมีภูเขา ) ความเสมอภาคที่มีบทสันนิษฐานอยู่บนความเท่ากันของอัตราค่าบริการกับจำนวนกิโลเมตรตามรางรถไฟที่ผู้โดยสารทุกคนจะต้องจ่ายเหมือนกันในทุกจุดของพื้นที่ไม่ว่าพื้นที่จะเป็นอย่างไรนี้ (Système de Tarif kilométrique ferroviaire soit le même en tout point du territoire) ได้ก่อให้เกิดผลตรงข้ามในทางปฏิบัติ กล่าวคือ มีความกังวลเกี่ยวกับวิธีคิดอัตราค่าโดยสารดังกล่าวและเกิดการปรับใช้อัตราค่าโดยสารในระดับที่แตกต่างหลากหลายมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อมีความแตกต่างกันเกี่ยวกับเวลาหรือสถานที่ในการจัดทำบริการ

                สภาแห่งรัฐได้ยอมรับอัตราค่าบริการที่แตกต่างกันของเส้นทางรถไฟ TGV เหนือ โดยไม่ได้อ้างถึงราคาตามหลักกิโลเมตรที่แน่นอนว่า รูปแบบวิธีการคิดอัตราค่าโดยสารจะต้องมีความเหมาะสมกับวัตถุประสงค์กล่าวคือ จะต้องไม่ทำให้มีความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างอัตราค่าโดยสารที่เป็นพื้นฐานกับอัตราค่าโดยสารพิเศษ และต้องคำนึงถึงราคาค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ไปจริงในการบริการ[142] รูปแบบวิธีการคิดนี้จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขข้อเท็จจริงด้วยว่าขบวนรถไฟดังกล่าวเป็นขบวนที่มีอัตราค่าโดยสารต่ำสุด(ซึ่งอาจเป็นขบวนรถไฟที่ไม่ต้องมีการต่อรถไปยังเส้นทางอื่น) เมื่อเทียบกับจำนวนและตารางเวลาของรถไฟในแต่ละเที่ยว  อีกทั้งยังมีความเสมอภาคที่จะเข้าไปใช้บริการได้โดยไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย (ความเห็นของสภาแห่งรัฐนี้ถูกวิจารณ์ว่าเป็นเรื่องยากที่จะดำเนินการให้เกิดขึ้นจริงได้)

                ในกรณีอื่น เช่น การกำหนดราคาค่าบริการให้สอดคล้องกับราคาตลาด(เพื่อความเสมอภาค)บางครั้งก็ถูกแก้ไขโดยกลไกของกฎหมายอื่น เช่น Loi sur l’aménagement du territoire n°95-115 ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1995 กำหนดให้การขนส่งทางอากาศใดที่ขาดทุนสามารถได้รับเงินจากภาษีที่หักจากราคาตั๋วของผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางเข้ามาในท่าอากาศยานฝรั่งเศสนั้น มาตรการนี้ด้านหนึ่งแม้จะเป็นการคำนึงถึงการเปิดให้มีการแข่งขันกันอย่างเสรีในบริการสาธารณะ(โดยมีกฎหมายช่วยสนับสนุนการเงินทางอ้อม) แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นการละทิ้งเรื่องความเสมอภาคในอัตราค่าโดยสาร และยังก่อให้เกิดปัญหาเรื่องความชอบด้วยกฎหมายในระหว่างผู้โดยสารด้วยกันเอง

                นอกจากนี้ เดิมฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ใช้หลักความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมายเท่านั้น(ใช้เฉพาะความเสมอภาคที่มีกฎหมายหรือหลักกฎหมายตามคำพิพากษากำหนดไว้) ปัจจุบันมีแนวโน้มในการยอมรับข้อยกเว้นของหลักความเสมอภาคทางกฎหมาย( égalité juridique )เพื่อให้เกิดความเสมอภาคในทางเนื้อหาหรือความเป็นจริง( égalité matérielle)[143] แนวโน้มดังกล่าวนี้มาจากความคิดเรื่องประชาสังคม(de la société civile) ซึ่งได้รับการรับรองจากสภาแห่งรัฐแล้ว หลักการล่าสุดที่สภาแห่งรัฐนำมาใช้ก่อให้เกิดความเสมอภาคในความเป็นจริงได้แก่ หลักเรื่องความเสมอภาคในทางโอกาส(égalité des chances)[144] หลักกฎหมายบริการสาธารณะในแง่นี้จึงมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นเครื่องมือรูปแบบใหม่เพื่อสร้างความเสมอภาคในความเป็นจริง ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น

                สำหรับหลักเรื่องการเลือกปฏิบัติที่สามารถกระทำได้ (discriminations positives) ปรากฏอยู่ในคำพิพากษาของตุลาการรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส[145] แต่ก็มีข้อจำกัด คือ การเลือกปฏิบัติที่ชอบหรือสามารถรับได้ (admissible)นี้จะต้องไม่เป็นการเลือกปฏิบัติที่ต้องห้ามอย่างชัดแจ้งตามรัฐธรรมนูญ เช่น การเลือกปฏิบัติเพราะเผ่าพันธุ์(de la race) เชื้อชาติ (de l’origine) ศาสนา (de la religion) เพศ (du sexe) และต้องไม่กระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐาน [146]

                ประการสุดท้าย การใช้หลักการปรับตัวของบริการสาธารณะ หลักการนี้สามารถเกิดขึ้นในความเป็นจริงได้เฉพาะในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นที่ยอมรับหรือพึงพอใจของบุคลากรในบริการสาธารณะเท่านั้น เช่น ในปี 1999 การปฏิรูปที่มุ่งการบริการสาธารณะทางด้านภาษีอากรเกี่ยวกับการพิจารณากำหนดฐานภาษี (établir l’assiette de l’impôt)เข้ากับบริการสาธารณะในการเรียกเก็บภาษี (assurer le recouvrement) เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับการปรับตัวของบริการสาธารณะทางภาษีอากร แต่ก็ถูกปฏิเสธโดยสหภาพแรงงานของบุคลากรที่จัดทำบริการนี้ เพราะไม่พอใจและต้องการเรียกร้องให้ไล่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกจากตำแหน่ง

                การใช้หลักการนี้ในทางปฏิบัติบางครั้งก็เป็นการใช้ที่ไม่ตรงตามความหมายหรือเจตนารมณ์ดั้งเดิม และก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ผู้ใช้บริการ เพราะมักจะนำไปใช้อ้างเมื่อจะมีการยกเลิกบริการสาธารณะที่ขาดทุน เช่น การปิดทางเดินรถไฟบางสายโดยอ้างว่าขาดทุนในปี 2001

 

 

บทสรุป

 

ทฤษฎีบริการสาธารณะในกฎหมายปกครองฝรั่งเศสก่อตัวขึ้นจากความต้องการอธิบายและจำกัดอำนาจรัฐที่ไม่มีขอบเขตในยุคสมัยที่รัฐเป็นผู้พิทักษ์ควบคุมความสงบของสังคม(รัฐตำรวจ) เพื่อ คุ้มครองและปล่อย ให้ประชาชนจัดการและแข่งขันทางการค้ากันเองตามปรัชญาความคิดเสรีนิยมดั้งเดิม  ปัญหาของบริการสาธารณะในช่วงแรกจึงเป็นเรื่องข้อความคิดและคำจำกัดความของบริการสาธารณะ ลักษณะและประเภทของกฎหมายที่จะใช้กับบริการสาธารณะและเขตอำนาจของศาลที่จะตัดสินคดีเกี่ยวกับบริการสาธารณะ ซึ่งล้วนแต่เกี่ยวข้องและแสดงถึงรัฐ อำนาจเหนือของรัฐ ประโยชน์ของส่วนรวม(หน้าที่ของรัฐ) และการเริ่มจำกัดอำนาจที่ไม่มีขอบเขตและความรับผิดของรัฐ  บริการสาธารณะในที่นี้จึงมีลักษณะเป็นข้อความคิดนามธรรมเกี่ยวกับรัฐและการกระทำของรัฐในทางกฎหมายมากกว่า บริการสาธารณะ ในความหมายทั่วไปที่เกี่ยวกับ การจัดการและตัวของบริการที่ถูกจัดทำ  ผลที่ได้จากวิธีการมองบริการสาธารณะตามแนวทางนี้ก็คือ การแบ่งแยกองค์กรและภาระหน้าที่ของภาครัฐและภาคเอกชนออกจากกันอย่างชัดเจน รัฐไม่เข้าไปแทรกแซงงานทางเศรษฐกิจของประชาชน โดยมีหลักกฎหมายปกครองประกันสิทธิเสรีภาพในทางการค้าของปัจเจกชนซึ่งถือเป็นประโยชน์ของเอกชนอย่างสมบูรณ์(เว้นแต่เป็นกรณีที่มีความต้องการของสังคม แต่เอกชนไม่สามารถหรือประสบความยากลำบากในการจัดทำงานดังกล่าว) ในทางตรงกันข้าม ภาคเอกชนก็ไม่สามารถจัดทำงานบริการที่อยู่ในหน้าที่ของรัฐได้เช่นกัน เพราะงานของรัฐเป็นบริการพื้นฐานทั่วไปที่แสดงความเป็นรัฐหรืออำนาจอธิปไตย(อํานาจเหนือที่เอกชนไม่มี) อีกทั้งยังถือเป็นผลประโยชน์ส่วนรวมที่อยู่เหนือผลประโยชน์ส่วนตัวของเอกชนทุกคน  ด้วยเหตุนี้ การจัดการภาครัฐจึงมีความชอบธรรมในตัวเองบนฐานอำนาจอธิปไตยที่(สมบูรณ์และเด็ดขาด)ไม่มีความ รับผิดใด ๆ เลยในผลของการกระทํา หลักกฎหมายปกครองจึงยอมรับหลักเรื่อง Le Roi ne peut mal faire” (King can do no wrong) และไม่ยอมรับการให้เอกชนจัดทำบริการพื้นฐานดังกล่าว

ต่อมาการปรับเปลี่ยนของทฤษฎีบริการสาธารณะได้เกิดขึ้นจากความคิดเสรีนิยมสมัยใหม่ที่ภาระของรัฐเปลี่ยนแปลงไปจากผู้ควบคุมความสงบของสังคมไปสู่การแทรกแซงทางเศรษฐกิจการค้าเพื่อประกันการจัดสรรปันส่วนและสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นจริงในสังคม(ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการแบ่งสรรปันส่วนที่ไม่เป็นธรรม การเอารัดเอาเปรียบและช่องว่างทางเศรษฐกิจของสังคมในการปล่อยให้ประชาชนจัดการเศรษฐกิจกันเอง) ปัญหาของบริการสาธารณะในช่วงปรับเปลี่ยนจึงเป็นเรื่องของบริการสาธารณะในแง่การจัดองค์กร รูปแบบ และวิธีการจัดการเพื่อเอื้อให้มีการบริการแก่ผู้ใช้บริการ เช่น ปัญหาลักษณะหรือประเภทของบริการสาธารณะ องค์กรผู้จัดทำ และวิธีการจัดทำบริการสาธารณะ ปัญหาเรื่องสิทธิหน้าที่ของผู้ใช้บริการและปัญหาความรับผิดของรัฐหรือผู้จัดทำอื่น ๆในการจัดทำบริการ (นอกจากนี้ยังมีปัญหาต่อเนื่องไปหลังจากปี 1950 ในเรื่องการกำหนดราคา ตลอดจนกติกาในการแข่งขันหรือการช่วยเหลือสนับสนุนทางการค้าอย่างเสมอภาค) ซึ่งเป็นผลจากการที่รัฐเข้าแทรกแซงและจัดการให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม บริการสาธารณะ ในที่นี้จึงมีลักษณะเป็น การจัดการและตัวบริการที่ถูกจัดทำ อย่างเป็นรูปธรรมในทางกฎหมาย แยกออกมาจาก บริการสาธารณะ ที่เป็นข้อความคิดนามธรรมของอำนาจรัฐในยุคก่อตัว[147]

ดังนั้น วิวัฒนาการของทฤษฎีบริการสาธารณะฝรั่งเศสตั้งแต่ในช่วงก่อตัวจนถึงช่วงปรับตัว(ประมาณปี 1950) จึงให้ภาพรวมสามด้านคือ  ด้านที่หนึ่ง การเปลี่ยนแปลงของทฤษฎีเกิดจากอิทธิพลความคิดทางปรัชญาการเมืองและเศรษฐกิจในยุโรปที่เปลี่ยนผ่านจากความคิดเสรีนิยมดั้งเดิมไปสู่ความคิดเสรีนิยมสมัยใหม่ในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การเปลี่ยนผ่านจากปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ว่า ใครเป็นผู้จัดทำ ไปสู่ปัญหาที่ว่า วิธีการจัดทำและแบ่งปัน  นิยามและขอบเขตของบริการสาธารณะจึงขยายตัวจากบริการสาธารณะที่เกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของรัฐ(บริการสาธารณะที่มีความหมายแทนรัฐ อำนาจและข้อจำกัดอำนาจรัฐ ซึ่งรัฐเท่านั้นที่จะแสดงออก(จัดทำ))ได้ ไปสู่บริการสาธารณะทางปกครองและบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม ซึ่งบริการแต่ละประเภทอาจจะถูกจัดทำโดยรัฐหรือเอกชนก็ได้(บริการสาธารณะที่มีความหมายถึง ตัวบริการที่ถูกจัดทำ โดยรัฐหรือเอกชน)  ด้านที่สอง เป็นผลต่อเนื่องจากด้านแรกกล่าวคือ ลักษณะของบริการ รูปแบบการจัดองค์กรบริการ วิธีการจัดการเกี่ยวกับบริการ ตลอดจนหลักประกันสิทธิเสรีภาพในการจัดทำบริการ ได้เปลี่ยนผ่านจากความคิดเรื่องการใช้องค์กรและระบบราชการ( Modèle dit Bureaucratique) ที่เน้นความเป็นกลางของรัฐ (neutralité) อยู่เหนือสังคมการแข่งขันเสรีทางการค้าของภาคเอกชน เพื่อประกันสิทธิเสรีภาพในการจัดทำบริการของประชาชนด้านหนึ่งและจัดทำงานบริการพื้นฐานของส่วนรวม (เช่น การภาษี การรักษาความสงบภายในและการสาธารณะสุข การยุติธรรม การป้องกันประเทศ และการต่างประเทศ) หรืองานบริการที่ประชาชนขาดแคลนหรือทำไม่ได้อีกด้านหนึ่ง โดยใช้อำนาจเหนือของรัฐ(อำนาจอธิปไตย)ในการจัดทำ  ไปสู่ความคิดเรื่องระบบบริการในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่รัฐเข้าแทรกแซงหรือเข้าจัดทำบริการเหมือนภาคเอกชนในเรื่องของงานอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม ทำให้เกิดลักษณะของบริการสาธารณะ องค์กรหรือการจัดองค์กรแบบใหม่ในการจัดทำบริการแตกต่างจากองค์กรในระบบราชการ การจัดการแบบใหม่ที่ไม่จำกัดเฉพาะการใช้อำนาจรัฐในการจัดทำบริการและการประกันสิทธิเสรีภาพในการจัดทำบริการแบบใหม่ที่มิได้อาศัยหลักเรื่องอำนาจอธิปไตยของรัฐ (เช่น การใช้หลักเรื่องเสรีภาพในทางการค้าและหลักเรื่องความรับผิดของรัฐในการจัดทำบริการสาธารณะ)  ด้านที่สาม หลักกฎหมายปกครองในเรื่องบริการสาธารณะ  ได้เปลี่ยนผ่านจาก (1)หลักกฎหมายที่เน้นความเป็นรัฐและอำนาจอธิปไตย(บริการสาธารณะที่ประกอบไปด้วยเกณฑ์พื้นฐานในเรื่ององค์กรของรัฐ การกระทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ และเนื้อหาของกฎหมายที่แสดงความมีอำนาจเหนือของรัฐ)  (2)หลักกฎหมายที่กำหนดขอบเขตการกระทำของรัฐ(บริการสาธารณะ เกณฑ์ในการกำหนดลักษณะของการกระทำทางปกครอง สัญญาทางปกครอง และความรับผิดทางปกครอง) ซึ่งก็คือการจัดการภาครัฐที่จะต้องมีการใช้อำนาจเหนือเพื่อประโยชน์สาธารณะ(แยกขาดจากการจัดการของภาคเอกชนที่เป็นเรื่องไม่เกี่ยวกับการใช้อำนาจและประโยชน์สาธารณะ)  และจาก(3) หลักกฎหมายที่กำหนดการควบคุมการกระทำของรัฐ(บริการสาธารณะในฐานะเกณฑ์ที่ให้ความชอบธรรมการกระทำของรัฐและเกณฑ์ที่กำหนดเขตอำนาจของศาลปกครอง : การที่ฝ่ายปกครองใช้อำนาจเหนือ(ไม่ว่าจะเป็นการกระทำฝ่ายเดียว สัญญา หรือความรับผิด)เพื่อประโยชน์สาธารณะย่อมเป็นการกระทำทางปกครองและอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ไปสู่หลักกฎหมายที่ (1) ขยายตัวรวมถึงการจัดทำบริการสาธารณะโดยเอกชน(บริการสาธารณะไม่ได้มุ่งใช้แสดงความเป็นรัฐหรืออำนาจอธิปไตย) เนื้อหาของบริการสาธารณะขยายรวมถึงกิจกรรมในทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม(มิได้มุ่งแต่ในเรื่องพื้นฐานทางการปกครองและประโยชน์สาธารณะ) การจัดทำและวัตถุประสงค์ของบริการสามารถใช้หลักการในทางแพ่งหรือสัญญาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรได้(บริการสาธารณะจึงไม่จำเป็นต้องเป็นการใช้อำนาจเหนือและมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะ) การกระทำและข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากการจัดทำบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม(ส่วนใหญ่)เป็นการกระทำทางแพ่งที่อยู่ภายใต้กฎหมายแพ่งและเขตอำนาจของศาลยุติธรรม(บริการสาธารณะจึงไม่ใช่สิ่งที่กำหนดการกระทำของรัฐ ลักษณะของกฎเกณฑ์ที่จะใช้กับการกระทำของรัฐและการควบคุมการกระทำของรัฐ(เขตอำนาจของศาลปกครอง)เสมอไป)

ภาพรวมของการปรับเปลี่ยนทั้งสามด้านเป็นตัวอย่างในการทำความเข้าใจเนื้อหา ลักษณะและการเปลี่ยนแปลงของทฤษฎีบริการสาธารณะในกฎหมายปกครองฝรั่งเศสได้ดี การเริ่มต้นจากความเป็นรัฐ การกำหนดวิธีการใช้อำนาจรัฐ วัตถุประสงค์ของรัฐ และการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ ถือเป็นพื้นฐานของ(ทฤษฎีบริการสาธารณะในฝรั่งเศส)หลักกฎหมายปกครองดั้งเดิมในทุกสังคมซึ่งจะมีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงยอมรับพื้นฐานอื่น ๆ ที่เป็นความต้องการร่วมสมัยของสังคมอยู่ด้วยเสมอ เช่น พื้นฐานทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม รวมถึงการควบคุมโรคระบาดและการก่อการร้ายรูปแบบใหม่ในสังคม(เดิมเป็นบริการพื้นฐานทางสาธารณะสุขและการรักษาความสงบภายในที่ปัจจุบันนี้ยกระดับรูปแบบขึ้นมาใหม่) ทำให้เกิดบริการสาธารณะหรือกฎหมายปกครองประเภทใหม่เฉพาะด้านตลอดเวลา  อย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจด้วยว่าบริการสาธารณะหรือกฎหมายปกครองที่เกิดขึ้นย่อมเป็นไปตามพื้นฐานของสังคมแต่ละประเทศ(บริบท(contexte))ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและยากที่จะลอกเลียนแบบกันได้

สำหรับประเทศไทย ข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ก็คือ ประเทศไทยมีหลักกฎหมายปกครองบางส่วนในคำพิพากษาศาลฎีกาและมีการพัฒนาหลักกฎหมายปกครองโดยตรงที่ได้จากคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์มาตั้งแต่ปี 2522 แต่ก็ยังไม่เพียงพอและไม่เป็นระบบ ประกอบกับเพิ่งมีการจัดตั้งศาลปกครอง ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการวางหลักเกี่ยวกับกฎหมายปกครอง(ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยในการคัดเลือกตุลาการที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในงานของรัฐ) ไม่นานมานี้เอง ทำให้ขาดหลักกฎหมายปกครองทั่วไปรวมทั้งหลักกฎหมายในเรื่องบริการสาธารณะที่จะใช้เป็นฐานในการพิจารณาปัญหาบริการสาธารณะของไทย  ยิ่งไปกว่านั้นพัฒนาการของสังคม การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมของไทย ได้แสดงความซับซ้อนของปัญหาการจัดการและการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญกฎหมายปกครองเฉพาะด้านต่าง ๆ นี้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบเงินทุนสำรองของประเทศที่เคยล้มละลาย สัญญา(ค่าโง่)สัมปทาน การสร้างบริการขนาดใหญ่ที่ไม่คำนึงถึงการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และแม้แต่การแปรรูปรัฐวิสาหกิจในปัจจุบันนี้  ดังนั้น การสร้างหลักกฎหมายปกครองทั่วไปและหลักกฎหมายเรื่องบริการสาธารณะจึงนับว่าเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วนเหมือนกับการพัฒนาในเรื่องอื่นๆเช่นกัน[148]  การที่บริการต่างๆในสังคมเกิดขึ้นอย่างมากมายหลายประเภทและมีลักษณะซับซ้อนหลากหลายอย่างที่เรียกว่ามีเพียงกลุ่มคนบางกลุ่มเท่านั้นที่รู้จัก และขาดผู้เชี่ยวชาญที่จะทำการวิจัยชี้นำหรืออธิบายถึงผลดีหรือผลเสียของบริการที่จะเกิดขึ้นจึงมีผลกระทบกับคนทุกระดับในสังคมและประเทศไทยเอง  สังคมที่ไม่มีหลักกฎหมายที่เหมาะสมเพียงพอในการวางแนวทางปฏิบัติหรือเป็นแนวทางในการพิจารณาตัดสินคดี ก็คือสังคมที่ขาดทิศทางและการประกันสิทธิเสรีภาพ เพราะหากเราเข้าใจเบื้องต้นถึงลักษณะของทฤษฎีบริการสาธารณะตามข้อสังเกตของโมริซ โอรีอูที่ว่า บริการสาธารณะคือสิ่งที่จัดทำโดยรัฐหรือผู้มีอำนาจหรือฝ่ายปกครองที่อ้างประโยชน์สาธารณะแล้ว ก็ต้องตระหนักด้วยว่า บริการสาธารณะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นไปตามอำนาจหรือการตัดสินใจตามนโยบายของผู้ปกครองว่าอะไรคือ ประโยชน์สาธารณะ ในขณะนั้น ซึ่งก็คือ เจตนา ของรัฐที่ไม่มีอะไรควบคุมได้นอกจากกลไกที่เหมาะสมกับเรื่องนั้น ๆ นั่นเอง  กลไกของกฎหมายบริการสาธารณะจึงเป็นหนึ่งในกฎหมายที่สำคัญทางการปกครองที่ประเทศไทยยังไม่มี ! ! !


 

[119] T. Confl, 9 ธันวาคม 1899, Association syndicale du Canal de Gignac.

[120] T. Confl, 10 กรกฎาคม 1956, Société Bourgogne-Bois.

[121] T. Confl, 4 มิถุนายน 1910, Compagnie d’assurance Le soleil และ CE, 31 กรกฎาคม 1912, Société des granits porphyroïdes des Vosges.

[122] T. Confl, 22 มกราคม 1921, Société  commerciale de l’Ouest africain.

[123] Etudes et Documents  Conseil d’Etat 1954, p.21 และ DC., 23 มกราคม 1987, Conseil de la concurrence.

[124] BIZEAU  J.P., “Le juge administratif n’est-il plus que le juge de la puissance publique” AJDA, 1992, p.179.

[125]  CE. Sect., 13 มกราคม 1961, Magmier.

[126] การกระทำในทางตำรวจทางปกครองหมายถึง การกระทำของฝ่ายปกครองที่ใช้วิธีการทางกฎหมายหรือวิธีการทางกายภาพต่าง ๆ กำหนดระเบียบ อนุมัติ ป้องกัน สั่งการ เพื่อป้องกัน คุ้มครอง และก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคม ในทางทฤษฎีแบ่งการกระทำในทางตำรวจทางปกครองออกเป็น 2 ประเภท คือ การกระทำในทางตำรวจทางปกครองทั่วไป มีวัตถุประสงค์คุ้มครองความปลอดภัยของชีวิต ความสงบสุขของสังคม  และสุขอนามัยสาธารณะ และการกระทำในทางตำรวจทางปกครองเฉพาะด้าน มีวัตถุประสงค์คุ้มครองความปลอดภัย ความสงบในกิจการเฉพาะด้าน เช่น การกระทำเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยในเรื่องการรถไฟ

[127] อย่างไรก็ตามการแยกความแตกต่างของการกระทำในทางตำรวจทางปกครองกับการกระทำในทางบริการสาธารณะตามแนวทางนี้อาจถูกโต้แย้งได้ว่า ด้านหนึ่งบริการสาธารณะเองก็สามารถแสดงนัยของการจัดระเบียบเพื่อประกันและรักษาความสงบของสังคมได้เช่นกัน เช่น  กรณีบริการสาธารณะเกี่ยวกับระบบวิชาชีพที่จัดทำโดยองค์กรวิชาชีพหรือสมาพันธ์กีฬาต่าง ๆ  อีกด้านหนึ่งการกระทำของฝ่ายปกครองในทางตำรวจทางปกครองสามารถที่จะขยายผลหรืออ้างอิงไปถึงการบริการหรือรูปแบบอย่างหนึ่งของบริการหรือหมายถึงบริการสาธารณะในแง่ขององค์กร(เมื่อพิจารณาโดยเกณฑ์องค์กรเพราะรัฐหรือฝ่ายปกครองเป็นผู้จัดทำบริการสาธารณะดังกล่าว)

[128] CHAPUS René, “Le service public et la puissance publique” RDP, 1968, p.235.

[129] T. Confl., 22 มกราคม 1921.

[130] MESCHERIAKOFF A.-S., “L’arrêt du Bac d’Eloka: Légende et réalité d’une gestion privée de la puissance publique” RDP, 1988, p.1059.

[131] CE, 23 ธันวาคม 1921.

[132] ลักษณะและประเภทขององค์การมหาชนอิสระมิได้เป็นตัวชี้ว่าบริการสาธารณะที่จัดทำนั้นเป็นบริการสาธารณะประเภทใด

[133] T. Confl., 24 มิถุนายน 1968, Société distilleries bretonnes et Société d’approvisionnements alimentaires.

[134] T. Confl., 17 เมษายน 1959, Abadie.

[135] T. Confl., 13 ธันวาคม 1976,  Zaoui.

[136] CE, 16 พฤศจิกายน 1956.

[137] T. Confl., 13 กุมภาพันธ์ 1984, Pomarèdes (ในส่วนที่เกี่ยวกับกิจการโรงแรมของรัฐ) หรือ CE, 20 มกราคม 1988, SCI “La colline” (ในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดเก็บขยะมูลฝอยและการรักษาความสะอาดของเทศบาล).

[138] T. Confl., 19 กุมภาพันธ์ 1990, Thomas.

[139] T. Confl., 24 มิถุนายน 1968, Ursot.

[140] VEDEL George,  “Service public à la française ? oui, mais lequel ?” Le Monde, 22 ธันวาคม 1995.

[141] ตามคำปรารภของรัฐธรรมนูญปี 1946 และ DC. 25 กรกฎาคม 1979.

[142] Avis CE, 24 มิถุนายน 1993.

[143] TRUCHET Didier, “La dualité égalité et équité dans le service public” in égalité et équité antagonisme ou complémentarité ? Economica, 1999, p.83.

[144] Conseil d’Etat, “Sur le principe d’égalité” EDCE, 1997 n° 48, p.83.

[145] DC., 26 มกราคม 1995.

[146] MELIN-SOUCRAMANIEN F., “Le principe d’égalité dans la jurisprudence du Conseil constitutionnel ” Economica, 1997.

[147] ทฤษฎีบริการสาธารณะฝรั่งเศสจึงแสดงลักษณะพิเศษของตัวเองในทางนามธรรมและรูปธรรมเสมอ กล่าวคือ ในทางกฎหมายทฤษฎีบริการสาธารณะจะเป็นหลักกฎหมายที่ยึดโยงบริการไว้เพื่อกำหนดลักษณะทางกฎหมายและเขตอำนาจศาลในการพิจารณาพิพากษา(โดยใช้เกณฑ์พิจารณาต่าง ๆ ที่ได้มาจากลักษณะของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเรื่ององค์กร เรื่องอำนาจเหนือ และเรื่องประโยชน์ส่วนรวม)  อีกด้านหนึ่ง ทฤษฎีบริการสาธารณะจะแสดงความเป็นอยู่ของ ตัวบริการและการจัดการ ในสังคม เช่น ผู้จัดทำบริการ ผู้ใช้บริการ ราคาค่าบริการ สิทธิหน้าที่และความรับผิดของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับบริการ ตลอดจนการผูกขาดและการแข่งขันกันในการจัดทำบริการดังกล่าว

[148] เราคงต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีบริบทสังคมที่แตกต่างจากประเทศในยุโรป การตอบรับและการนำหลักกฎหมายต่างประเทศมาใช้จึงเป็นดาบสองคมเสมอ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า เราต้องการ ผู้รู้ หรือ ผู้เชี่ยวชาญที่จะมา วิจัย และสร้างหลักกฎหมายที่เหมาะสมกับบริการสาธารณะในประเทศไทย หรืออย่างน้อยเป็นผู้ รู้จัก และ รู้ทัน งานของรัฐและสังคมวิทยาการปกครองของไทยได้ดี ตลอดจนสามารถนำหลักกฎหมายต่างประเทศ(วิธีคิดที่ติดอยู่กับบริบทหนึ่ง ๆ)ที่ผ่านการตรวจสอบและผ่านการวิเคราะห์ผลดีผลเสียแล้วมาใช้แก้ปัญหาสังคมไทยได้อย่างเหมาะสม

 



 

 

 คลิ๊กเพื่อกลับไปอ่านตอนที่ I การเกิดขึ้นของข้อความคิด  แนวทางการใช้ และระบบกฎหมายของทฤษฎีบริการสาธารณะ

(กลับไปข้างบน) /(กลับไปหน้าแรก) / (กลับไปสารบัญบทความ)
 

 

 


 

[1] เนื้อหาส่วนใหญ่ของบทความนี้เรียบเรียงจากหนังสือ “Le service public” Dalloz, 2 e éd. 2002 ของ Pierre ESPLUGAS.

[119] ทฤษฎีบริการสาธารณะในเชิงภาวะวิสัย ข้อ 1.1 หน้า 3-4.

[120] ทฤษฎีบริการสาธารณะในเชิงอัตวิสัย ข้อ 1.2 หน้า 4.

[121] DELVOLVÉ Pierre, “Service Public et libertés publiques” RFDA, 1985, p.1.

[122] PISIER-KOUCHNER  Evelyne, Pouvoir n°36, 1986, p.143.

[123] CE, Ass., 20 ธันวาคม 1935, Etablissement Vezia.

[124] CE, Ass., 13 พฤษภาคม 1938, Caisse primaire Aide et protection” .

[125] CE, Ass., 31 กรกฎาคม 1942, Montpeurt.

[126] CE, Ass., 2 เมษายน 1943, Bouguen.

[127] CE, Sect., 13 มกราคม 1961, Magnier.

[128] T. Confl., 20 พฤศจิกายน1961, Centre régional de lutte contre le cancer “Eugène-Marguis”.

[129] CE, 4 เมษายน 1962, Chevassier.

[130] CE, Sect., 22 พฤศจิกายน 1974, Fédération des industries françaises d’articles de sport.

[131] เช่น DEBBASCH Charles, Institutions et droit administratif, tome II, PUF, 1998, p.69.

[132] CE, Sect., 7 เมษายน 1916, Astruc.

[133] CE, 21 มกราคม 1944, Léoni.

[134] CE, Sect., 30 พฤษภาคม 1930, Chambre syndicale des communes en détail de Nevers.

[135] CE, 25 มีนาคม 1966, Ville de Royan.

[136] CE, 18 ธันวาคม 1936, Prade.

[137] CE, 25 กรกฎาคม 1986, Commune de Mercoeur c/ Morand.

[138] CE, Sect., 20 พฤศจิกายน 1964, Ville de Nanterre.

[139] CE, Sect., 23 ธันวาคม 1970, Préfet du Val-d’Oise c/ Commune de Montmagny.

[140] PONTIER Jean Marie, l’intérêt général existe-t-il encore?” Dalloz, 1998, p.327.

[141] CE, 4 กรกฎาคม 1984, Département de la Meuse c/ Poilera

[142] CE, 9 กุมภาพันธ์ 1979, Société d’encouragement pour l’amélioration des races des chevaux.

[143] CE, Sect., 27 ตุลาคม 1999, Rolin, โปรดดู. TRUCHET Didier, “L’intérêt général dans la jurisprudence du Conseil d’Etat : retour aux sources et équilibre” EDCE 1999, n°50, p.361.

[144] CE, 17 ธันวาคม 1997, Ordre des avocats à la cour d’appel de Paris.

[145] CE, 6 กุมภาพันธ์ 1903, Terrier.

[146] T. Confl., 4 มิถุนายน 1910, Compagnie d’Assurances Le Soleil.

[147] CE, 31 กรกฎาคม 1912, Société des granits porphyroïdes des Vosges.

[148] T. Confl., 22 มกราคม 1921, Société commerciale de l’ouest africain.

[149] T. Confl., 11 กรกฎาคม 1933, Dame Mélinette.

[150] CE, Sect., 25 เมษายน 1958, Veuve Barbaza.

[151] CE, Sect., 23 กันยายน 1970, EDF c/ Farsat

[152] VEDEL George, “De l’arrêt Septfons à l’arrêt Barinstein” JCP 1948, Doctr. n°682 ; “La juridiction compétente pour prévenir, faire cesser ou réparer la voie de fait” JCP 1950, Doctr. n°851.

[153] TRUCHET Didier,  “Lebel de service public et statut de service public” AJDA, 1982, p.427.

[154] CHENOT B., “La notion de service public dans la jurisprudence économique du Conseil d’Etat, EDCE, 1950, p.77.

[155] RIVERO Jean, “Apologie pour les faiseurs de système” Dolloz, 1951, p.99.

[156] CE, 28 มิถุนายน 1963, Narcy.

[157] ตัวอย่างเช่น CE, 20 กรกฎาคม 1990, Ville de Melun.

 

 คลิ๊กเพื่อกลับไปอ่านตอนที่ I การเกิดขึ้นของข้อความคิด  แนวทางการใช้ และระบบกฎหมายของทฤษฎีบริการสาธารณะ

(กลับไปข้างบน) /(กลับไปหน้าแรก) / (กลับไปสารบัญบทความ)
 

 

(คลิ๊กเพื่อโหลดอ่านด้วย PDF ไฟล์)

คลิ๊กเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ

สงวนลิขสิทธิ์ © 2003 
งานเขียนแต่ละชิ้นเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนแต่ละท่าน