ศัพท์กฎหมายฝรั่งเศส

Internet pour le droit

เรื่องอยากเล่า

Salon d'Aix

webboard

คุยกับดอกแก้ว

จดหมายเหตุ


ดู TV ฟังวิทยุ อ่าน นสพ.
การ Set เพื่อพิมพ์ไทย
โทรกลับไทย IRADIUM
โทรกลับไทย Telerabais

ที่ตั้งและแผนที่ Aix
การเดินทางและตารางรถ

ตารางรถประจำทางใน AIX
ตารางรถไป Marseille และ Plan de campagne
ตารางรถPays d'Aix ไป Plan
    สภาพอากาศประจำวัน
    ที่ Aix-en-Provence


Webboard

Thaiaixois Gallery
ศัพท์กฎหมายฝรั่งเศส
Internet pour le droit
เรื่องอยากเล่า (วิชาการ)
สภากาแฟ Salon d'Aix
คุยกับดอกแก้ว
จดหมายเหตุ
ส่ง e-cartes  virtuelles d'Aix-en-Provence

(กระทู้)การขอทุนเรียนที่ฝรั่งเศส

การปรับหลักสูตรมหาวิทยาลัยของฝรั่งเศส

คู่มือศึกษาต่อในประเทศฝรั่งเศส (โดยสารสนเทศการศึกษาต่อต่างประเทศ)

คู่มื่อเลือกมหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส( Guide Lamy des 3es cycles)

โรงเรียนสอนภาษาฝรั่งเศส IEFEE


มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในฝรั่งเศส

มหาวิทยาลัยใน Aix
Université de Provence 
Université de la Mediterranee

Université Paul Cézanne (Universitéde Droit, d'Economie et des Sciences d'Aix-Marseille3)

สถาบันศึกษาอื่น


ที่พักอาศัย
 - ที่พักของมหาวิทยาลัย
( CROUS)

ที่พักของเอกชน
 
- (Estudines)
 
-  (Citadine)  
 -
หาที่พักกับ adele.org
 - หาที่พักกับ office de tourisme
 - พักที่บ้านพักเยาวชน(Auberge de jeunesse)

การขอเงินช่วยเหลือค่าที่พัก(CAF)


การติดต่อที่จำเป็น

การติดต่อขอใบอนุญาตพักอาศัยในประเทศ(Carte de sejour)
 - เอกสารที่ต้องใช้ 1/ 2 /3
 - ติดต่อ
Prefecture des Bouches-du-Rhone
 - (กระทู้Thaiaixoisที่เกี่ยวข้อง)

การประกันสุขภาพ
 - การติดต่อประกันสุขภาพ
Securite sociale)
 - MEP ประกันสุขภาพของนักเรียน(อายุไม่เกิน 25 ปี)
 - Assurance étudiant (อายุไม่เกิน 40 ปี)

อื่น ๆ
 - การทำงานนอกเวลา
 - การต่ออายุหนังสือเดินทาง


ลิงค์เพื่อนบ้าน
Thai Law Reform
สมาคมนักเรียนไทยในรั่งเศส
เพื่อนไทยในเกรอนอบ
เพื่อนไทยในตูลูส
เพื่อนไทยในลียง

ABC-Bittorrent Client โดย pingpong
เพื่อนไทยในเบลเยี่ยม
สำนักงานผู้ดูแลนักเรียนฯ
เล่าข้ามฟ้ากับนาย Baguette
Pokpong's
Nujern's homepage
Café Lunar

Cafe Lunar สาขา 2
Le Journal de TAUNG
Artsstudio

 

 

คาบสมุทรบอลข่าน

                                                                                                    โดย Ongenaix

คลิ๊กเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ

           

เมื่อพูดถึงคาบสมุทรบอลข่าน (Balkan)  หลายคนอาจงงว่าอยู่ตรงไหนของโลก  ผมเองก็ยังงงในตอนแรกๆ   แต่เมื่อพูดถึงบอสเนีย (Bosnia), โครเอเชีย (Croatia), เซอร์เบีย (Serbia),หรือพวกซาราเจโว (Sarajevo)  อาจคุ้นๆหูพวกเราขึ้นหน่อยว่าเมื่อทศวรรษที่ผ่านมา (ค.ศ.1990-2000) มีเหตุการณ์ความวุ่นวายเกิดขึ้น ณ ดินแดนแถบนี้   คาบสมุทรบอลข่านคือดินแดนที่ตั้งของประเทศยุโรปตะวันออกตอนล่าง  ถัดจากอิตาลี่ไปจะมีดินแดนระหว่างทะเลอะเดรียติกกับทะเลดำ นี่แหละครับคือ บอลข่าน เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญอันหนึ่งเหมือนกันเพราะเป็นทางออกทะเลทางใต้ของพี่ใหญ่รัสเซีย   ใครยังนึกภาพไม่ออก  ผมมีแผนที่ปัจจุบันมาให้ดูครับ[1]

เหตุที่เขียนเรื่องนี้เนื่องมาจากว่าผมเคยได้ยินชื่อพวก ซาราเจโว” “บอสเนีย” “โครเอเชีย และอื่นๆมานานแล้ว  แต่ไม่รู้ซักทีว่าเค้ารบเค้ายิงกันทำไม  จนผมได้มาเจอหนังสือชื่อ La Bosnie[2] ที่ห้องสมุดแม่จัน  อ่านแล้วได้พบความจริงและแง่คิดบางอย่าง

ความสำคัญของดินแดนแถบนี้ที่เห็นชัดๆ สองส่วนครับ ส่วนแรกคือ ดินแดนแถบนี้เป็นชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 1  ส่วนที่สองคือ  ดินแดนแถบนี้เป็นต้นกำเนิดของคำว่า การก่อการร้าย (terrorism) ที่ทั่วโลกหวาดกลัวและเร่งกันปราบปรามอยู่ทุกวันนี้    

                เริ่มเรื่องเลยนะครับ   ขอลากยาวสุดสายป่านจนถึงสมัยโรมันเรืองอำนาจ   ในปี คศ.100  คาบสมุทรบอลข่านถูกครอบครองโดยอาณาจักรโรมันอันยิ่งใหญ่ (ผมเชียร์เอง)  มีปรากฏหลักฐานว่ามีโคลีเซี่ยมในแถบนี้ด้วย  ไม่น่าแปลกครับ  เมืองใดที่โรมันไปยึดได้  ถ้าคนมากๆหน่อยโรมันท่านก็จะสร้างโคลีเซี่ยม[3]  เป็นสถานพักผ่อนหย่อนใจ  เอานักรบนักโทษมาสู้กันเองบ้าง มาสู้กับสัตว์ร้ายบ้าง ให้เลือดตกยางออกเพื่อความสะใจของคนดู (เด็กเอ๊กซ์บางคนก็ชอบดูคนถูกตัดคอ)   

                โรมันล่มสลายเพราะว่าคนที่พวกโรมันอ้างว่าเป็น พวกป่าเถื่อน[4] (Barbarian) เข้ามาโจมตี  จนโรมันแตกพ่ายไป   ดินแดนแถบบอลข่านนี้ก็สิ้นบุญโรมันไปด้วย  พวก slave ทางเหนือก็เริ่มอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน  จำชื่อพวก “slave” ไว้ให้ดีนะครับ  เพราะพวกนี้คือเชื้อสายของคนแถบนี้ทั้งนั้น  แต่ตอนหลังพวกนี้มาทะเลาะและฆ่ากันเอง    แต่ถ้าเรื่องศาสนาแล้วเริ่มมีการแบ่งแยกชัดเจน   คือพวกอยู่ใต้อิทธิพลโรมันเก่าคือ slovénie, croatie และ bosnie จะนับถือคริสต์คาทอลิก  ส่วน พวก serbie ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของคาบสมุทร จะประกาศตัวเป็นนิกายกรีกออกโทดอกซ์   

                ชาว Serbe ตั้งรัฐได้ก่อน  ตั้งแต่ศตวรรษที่ 9  และกลายเป็นอาณาจักร byzantin ที่มีอำนาจมากสุดในคาบสมุทรบอลข่าน    พวก Bosnie ตั้งรัฐปกครองได้เมื่อศตวรรษที่ 11

                ต่อมาเมื่อประมาณศตวรรษที่ 13-14  พวก Turque หรือเรียกง่ายๆว่าแขกตุรกี  ยกพลมาบุกคาบสมุทรแถบนี้   ยึดพวก Bosnie ทางตะวันตกของคาบสมุทรบอลข่านไปได้อย่างง่ายดาย  ส่วนพวก Serbie ทางตะวันออกของคาบสมุทรบอลข่านทำสงครามกับพวกแขกกันหนักหน่อย  ในที่สุดก็สู้แขกไม่ไหว  แพ้แขกเมื่อ ปี 1389  ในสงครามที่ชื่อว่า kosovo polje[5]  และในที่สุดถูกแขกปกครองทั้งหมด  ดูแผนที่เหตุการณ์ช่วงนี้ครับ[6]   เห็นไหมครับอาณาจักรแขก Ottoman กินพื้นที่เกือบทั้งหมดของคาบสมุทรนี้

 

                ตามธรรมชาติของพวกแขก Turque มาถิ่นไหนไม่ได้มามือเปล่า  แต่เอาศาสนามาฝากด้วย  อิทธิพลของอิสลามเลยแผ่ขยายเข้ามาในคาบสมุทรบอลข่าน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดกระบวนการ Islamisation (คนเปลี่ยนมานับถืออิสลาม)  ในกลุ่มชาว Bosnie           

                แขก Turque มีอิทธิพลอยู่แถบนี้นานหลายศตวรรษจนกระทั่งศตวรรษที่ 17 แขกเริ่มอ่อนแรง  อาณาจักร Autriche-hongrie (สองประสานออสเตรียกับฮังการี) ก็เข้ามายึดดินแดนที่แขก Turque เคยยึดไว้  โดยผลของการนี้   Serbie ก็กลายเป็นเอกราชเมื่อปี 1878  ในส่วนของ Serbie หลังได้เอกราชก็เลยหันไปพึ่งบารมีรัสเซีย   ภาพรวมของดินแดนช่วงนี้เป็นดังแผนที่ข้างล่างนี้ครับ  Serbie เป็นเอกราชอยู่ที่เดียวเลย  เพราะมีพี่หมีขาวหนุนหลังอยู่  ทางขวาเป็นพวกแขก  ส่วน Bosnie โดน Autriche-hongrie ยึดไว้หมด

 

                  คุณฝรั่งเศสก็เข้ามายุ่มย่ามในคาบสมุทรนี้เหมือนกันสมัยนโปเลียนในปี คศ. 1806-1814   พี่ท่านเข้ามายึดเขต Croatie และ Slovénie ตั้งเป็นจังหวัดชื่อ province illyriennes française แต่อยู่ได้ไม่นาน เมื่อจักรพรรดิ์นโปเลียนแพ้สงครามที่ waterloo[7]  ดินแดนที่เคยยึดได้ก็ตกกลับไปเป็นของ Autriche-hongrie อีกสมัยหนึ่ง

                ถึงตอนนี้ ในปี ค.ศ. 1878 Serbie เป็นเอกราชใต้บารมีของรัสเซีย  ส่วน Bosnie เป็นของอาณาจักร Autriche-hongrie  

                หลังสิ้นสุดศตวรรษที่ 19 ในต้นศตวรรษที่ 20 นั้นมีเหตุการณ์สำคัญของโลกคือ สงครามโลกครั้งที่1  และดินแดนแถบนี้เองเป็นชนวนของสงครามครั้งนี้  จริงๆมันคือเรื่องเล็กๆ  แต่ขยายวงกว้างกลายเป็นมีคนตายมากกว่า 10 ล้านคน  ชนวนของสงครามคือเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1914 ราชวงศ์ Autriche คนหนึ่งชื่อ L’archiduc François-Ferdinand มาเยือนกรุง Sarajevo นครหลวงของ Bosnie (สมัยนั้น Bosnie อยู่ใต้อิทธิพล Autriche)  ท่านถูกมือดี (จริงๆแล้วไม่ดี) ลอบสังหารที่ Sarajevo  เอาละสิครับ   ผู้เสียหายในคดีนี้คือ Autriche ตอนนั้นเป็นพันธมิตรกับเยอรมันก็กล่าวโทษว่า Serbie (ภายใต้บารมีของรัสเซีย) เป็นคนทำ,  serbie บอกว่า หนูไม่รู้ และไปแจ้งให้รัสเซียทราบว่าถูก Autriche รังแก   ฝ่าย Autriche กับพันธมิตรเยอรมันก็เลยประกาศสงครามกับฝ่ายรัสเซียซึ่งมีอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นพวก  สงครามโลกครั้งที่หนึ่งจึงเกิดขึ้น   ความเสียหายมากมาย  คนตายมากกว่า 10 ล้านคน

                หันมาดูคาบสมุทรบอลข่านต่อ  หลังจากจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ   ผลของสงครามโลกนั้นอย่างที่เรารู้กันครับว่าเยอรมันกับ Autriche แพ้   อิทธิพลของอาณาจักร Autriche-hongrie ในดินแดนบอลข่านก็เสื่อมลง   ชาว slave ในคาบสมุทรนี้ก็เริ่มรวมตัวกันได้   โดยการนำของ Serbie (ผู้ฝักใฝ่รัสเซีย) ในฐานะคนชนะสงคราม   การรวมอาณาจักรครั้งนี้มีขึ้นเมื่อปี 1978 โดยใช้ชื่อว่า “Royaume des Serbe, des Croate Slovčne” ดินแดนของ Bosnie ก็ถูกผนวกเข้าไปในอาณาจักรที่ตั้งขึ้นใหม่ด้วย                                                   

                รวมกันดีๆ ก็ทะเลาะกันอีกแล้ว   เหตุแห่งการทะเลาะคือพวก Croatie และ slovčne ต้องการการปกครองแบบ Fédéral พูดง่ายๆคือ กระจายอำนาจให้แต่ละแคว้นปกครองกันเอง  ส่วนพี่ใหญ่ Serbie ต้องการการปกครองแบบรวมศูนย์  ทุกอย่างให้เข้าส่วนกลางตัดสินใจ   อ้าว...แล้ว Bosnie ของเราหายไปไหนจากประวัติศาสตร์ช่วงนี้  ไม่หายครับ  ถูกกลืนดินแดนอยู่ใน Royaume ด้วย แต่เป็นคนเรียบร้อย  ไม่มีปากเสียง สังเกตจากชื่ออาณาจักร  “Royaume des Serbe, des Croate Slovčne”  ยังไม่มีคำว่า Bosnie ปรากฏเลย

 

                ทะเลาะไปมาก็มีคนมาระงับปัญหา เมื่อ 5 มกราคม 1929 (ระหว่างสงครามโลกทั้งสองครั้ง)  คุณ Alexandre ที่หนึ่ง ท่านก็ประกาศระงับใช้รัฐธรรมนูญของ Royaume พร้อมกับประกาศตัวเป็น dictature (เผด็จการนั่นเอง)   โดยใช้ชื่อประเทศใหม่ว่า “Yougoslavie” เป้าหมายของการนี้ก็คือจะปรามพวกชาตินิยมกลุ่มต่างๆทั้งหลายให้สงบลง   ประเทศ Yougoslavie จึงเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกบนคาบสมุทรบอลข่าน  แผนที่และชื่อ ยูโกสลาเวีย จึงเกิดขึ้นครั้งแรกในโลกดังนี้ครับ

 

                ช่วงที่ Alexandre ที่หนึ่งครองดินแดนอยู่นั้น  คาบสมุทรบอลข่านก็สร้างเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่สำคัญให้กับชาวโลกอีกแล้วครับ    คือเมื่อปี 1934 ณ นคร Marseille ใกล้บ้านพวกเราเอง คุณ Alexandreที่หนึ่งผู้ปกครอง Yougoslavie  ได้มาเยือนฝรั่งเศส  มีชาว Croate คนหนึ่งลอบสังหารท่าน    เหตุการณ์นี้สร้างความวิตกกังวลให้สังคมโลกสมัยนั้นอย่างมาก  โดยที่ประชุมสันนิบาตชาติสมัยนั้น (เหมือน UN สมัยนี้) ได้ทำการร่างสนธิสัญญาเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการก่อการร้ายขึ้นครั้งแรกในโลก  โดยร่างมาสองฉบับคือฉบับแรกเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการก่อการร้าย  ฉบับสองเกี่ยวกับการตั้งศาลอาญาโลกไว้ตัดสินคดีก่อการร้ายข้ามชาติ แม้ว่าทั้งสองฉบับจะไม่ประสบความสำเร็จ  หมายถึงไม่ค่อยมีใครลงนาม  แต่ก็เป็นการสร้างคำว่า “terrorism” ขึ้นมาครั้งแรก และมีอนุสัญญาเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการก่อการร้ายตามมาอีกจนปัจจุบันมีทั้งหมด 12 ฉบับ[8]   

                เอาหละครับเมื่อผู้นำตาย   ประเทศนี้จะปกครองกันต่อไปยังไง  ยูโกยังไม่ทันได้ขยับเขยื้อนตัวเท่าไหร่   คุณฮิตเลอร์ก็เข้ามายึดและเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซะก่อน

                สงครามโลกครั้งที่สองเป็นยังไง  ไม่พูดถึง  เพราะเยอะจริงๆครับ  หนังสือเขียนกันเป็นเล่มๆ  DVD ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ออกมาให้ซื้อกันหลายตอน  ผมซื้อมาได้สองตอนแล้วหมดกำลังใจเพราะแพงเหลือเกิน 

                มาดูกันดินแดนคาบสมุทรบอลข่านต่อ  อย่างที่ทราบครับ  ฮิตเลอร์ยึดคาบสมุทรนี้   เกิดวีรบุรุษขึ้นในดินแดนแถบนี้เหมือนที่อื่นๆ  (สังเกตได้ว่าใครต้านเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองได้เป็นวีรบุรุษกันทุกคน  เช่น  De Gaulle ของฝรั่งเศส   ขบวนการเสรีไทยของไทย  เพราะเยอรมันแพ้นั่นเอง   ลองเยอรมันชนะสงครามสิ  วีรบุรุษอาจเป็นอีกพวกหนึ่งก็ได้)   วีรบุรุษของชาว slave คือ Josip BROZ, DIT TITO TITO เกิดเมื่อปี 1892 ที่ Croatie ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง TITO สร้างขบวนการ “La Guérilla permanente contre l’occupant allemand” หรือ เสรี slave” (ผมตั้งเอง)  ต้านผู้ยึดครองเยอรมัน   ดังนั้นเมื่อสงครามจบลง  TITO จึงเป็นผู้ที่ชาว slave เคารพเลื่อมใส   และเป็นผู้นำ Yougoslavie ตั้งแต่หลังสงครามจบจนถึงปี 1980

                เหตุการณ์ของคาบสมุทรบอลข่านในช่วงที่ TITO ปกครองนั้น (1945-1980) สงบเรียบร้อยดีมาก  TITO สามารถยึดครองใจชนเผ่าต่างๆได้ทั้งหมด

ด้านการปกครอง TITO แบ่ง Yougoslavie เป็น 6 républiques ประกอบด้วย Slovénie, Croatie, Bosnie-Herzégovine, Serbie, Monténégro และ  Macédoine แต่ทุก république จะรวมเป็นประเทศเดียวชื่อว่า Yougoslavie ภาพรวมของประเทศช่วงนั้นเป็นดังนี้ครับ

     ด้านระบบการปกครอง  TITO ยึดระบบคอมมิวนิสต์  แต่เป็นคอมมิวนิสต์ในแบบของ TITO  คือไม่อ่อนข้อต่อโซเวียตเท่าไหร่   ไม่เหมือนประเทศยุโรปตะวันออกอื่นๆในช่วงสงครามเย็นนั้นนับถือสหภาพโซเวียตเป็นบิดา   ผู้คนต้องเรียนรู้ภาษารัสเซีย    TITO ปกครองประเทศตามแบบตัวเองโดยยึดอุดมการณ์เดิมจนกระทั่งทะเลาะกับพี่ใหญ่โซเวียต  โดยโซเวียตกล่าวหาว่า TITO เป็น พวกเบี่ยงเบน  ไม่ใช่เบี่ยงเบนทางเพศนะครับ  หมายถึงเบี่ยงเบนจากแนวคอมมิวนิสต์โซเวียต   ก็น่าจะถูกพี่ใหญ่โกรธอยู่หรอกครับ  เพราะ TITO ในช่วงปี 1960-1970 ท่านเล่นรับความช่วยเหลือจากพี่ใหญ่ทั้งสองทาง  คือมือหนึ่งรับจากโซเวียตซึ่งเป็นพี่ใหญ่คอมมิวนิสต์  อีกมือหนึ่งท่านรับความช่วยเหลือจากอเมริกาด้วย  นอกจากนี้ยูโกฯสมัยสงครามเย็นยังเป็นคอมมิวนิสต์ประเทศเดียวที่เปิดรับนักท่องเที่ยวยุโรปตะวันตกที่เป็นประชาธิปไตย ทำให้ภาพของยูโกฯ สมัยนั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชาวยุโรปตะวันตกได้อย่างปลอดภัย   

                อีกมุมหนึ่งที่ทำให้ TITO ปกครองประเทศได้อย่างสงบสุขทั้งๆที่ในประเทศมีหลายเผ่าพันธุ์ (นับได้ 6 เผ่าหลักๆ) ส่วนตัวผมว่า TITO ใช้ระบบกระจายอำนาจ  คือให้แต่ละ  république มีอำนาจปกครองตนเอง   โดยให้อำนาจปกครองตนเองกับพวก Slovénie และ Croatie ซึ่งอยู่ทางเหนืออย่างมาก

                แต่นั่นหละครับ  มีเกิดก็ต้องมีดับ หลังจาก TITO สิ้นไปเมื่อปี 1980  ประเทศ Yougoslavie ขาดศูนย์รวมน้ำใจ  สถานการณ์ในประเทศก็เข้าสู่วิกฤติครั้งใหญ่  บวกกับพี่ใหญ่คือโซเวียตก็ล่มสลาย  ทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายใหญ่  กล่าวคือมีการล่มสลายของยูโก  และแต่ละเผ่าพันธุ์ก็แยกตัวปกครองกันเอง  และมิหนำซ้ำยังทำสงครามขยายดินแดนของตัวเองให้ออกไปไกลที่สุด

                สถานการณ์ของสงครามบนคาบสมุทรบอลข่านหรืออดีต Yougoslavie สรุปง่ายๆคือ Yougoslavie ขาดศูนย์รวมน้ำใจ   ประเทศจึงล่มสลาย  république ต่างๆ ประกาศตนเป็นเอกราช   พวก Serbie ซึ่งอยู่ทางตะวันออก  ก็ยังอยากเป็นประเทศยูโกอยู่  จึงอ้างความเป็นยูโกทำสงครามกับพวก république ต่างๆที่อยากจะแยกตัว  ทำสงครามไม่ทำเปล่า  กลับมีการนำมาตรการ “purification ethnique” มาใช้ด้วย  คือการเลือกปฏิบัติและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์[9]  จากรายงานมีการฆ่า ข่มขืน และขับไล่พวกเชื้อสาย Bosnie (ส่วนใหญ่เป็นมุสลิม)

สงครามนองเลือดที่คาบสมุทรบอลข่านเริ่มเมื่อปี 1991 เมื่อ Slovénie (ตอนเหนือสุดของอดีตยูโกฯ)ประกาศเอกราชก่อน   พี่ใหญ่สุดคือ Serbie ก็อ้างความเป็นยูโกใช้ทหารบุกเข้าไปปราบปราม  การโจมตีสั้นๆ แต่มีรายงานว่าสูญเสียกันหนักพอสมควร  ในที่สุด Slovénie ชนะ ได้เป็นเอกราชไปประเทศแรก

                ต่อมาครับ  Croatie (ดินแดนทางใต้ของ Slovénie) คงเห็น  Slovénie เป็นเอกราชแล้วอยากทำบ้าง  ก็เลยประกาศเอกราชบ้าง  พี่ใหญ่ Serbie ก็ถอนทหารจาก Slovénie เพื่อมาปราบปราม Croatie อีก  เกิดสงครามนองเลือดขึ้นอีก 

                UN และ EU ทนไม่ไหว เลยเข้ามาสงบศึก  โดยส่งกองกำลัง UN (ทหารใส่หมวกสีฟ้า) เข้ามารักษาการณ์ ผลคือ  ทั้งสองฝ่ายหยุดยิง  และสงบศึก  หลังหยุดยิง Serbie ได้ดินแดนของ Croatie ไปครอบครองถึง 1 ใน 3

                ต่อมาในปี 1992  พี่ใหญ่ Serbie ก็มาอาละวาด Bosnie แทน  (Bosnie น่าจะเรียกได้ว่าอ่อนแอสุด ไม่ค่อยมีกองกำลังและไม่ค่อยมีปากเสียง)     ต้นเหตุเกิดเพราะเมื่อเมษายน 1992 สหภาพยุโรปของพวกเราได้ไปรับรองเอกราชของ Bosnie-Herzégovine  พี่ใหญ่ Serbie ก็โกรธอีก  (คงพูดกับตัวเองว่า...อะไรหว่า...เสีย Slovénie, Croatie ปีที่แล้ว ปีนี้ต้องมาเสีย Bosnie อีก)  Serbie จึงส่งกำลังลุย Bosnie ในปี 1992  Serbie ครอบครอง 60 % ของดินแดน Bosnie  และในปี 1993 จึงครอบครองได้ 70%

                ที่หนักสุดคือเมืองหลวงคือ Sarajevo ถูก Serbie ปิดล้อม  ชาวเมืองถูกตัดขาดจากโลกภายนอก  ถูกตัดน้ำไฟ  และโทรศัพท์ (อันหลังนี้ไม่รู้ถูกตัดหรือเปล่า?...เพราะพูดถึงน้ำไฟก็มักจะตามด้วยโทรศัพท์) หนักสุดคือฤดูหนาว   ชาวเมืองเริ่มอาหารหมด   ครั้นจะออกไปนอกเมืองก็ถูกยิง   แม้อยู่ในเมืองออกมาเดินเล่นก็เสี่ยงกับ Sniper (เป็นทหารหน่วยแม่นปืนติดกล้องส่องทางไกล) คอยเล็งยิงอีก   

                สถานการณ์เลวร้ายขึ้นเมื่อมีรายงานการกระทำอันเป็นอาชญากรสงคราม (Crime de guerre)[10]  และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (génocide)  สาเหตุจากการกระทำการรุนแรงต่อประชาชนนั้น นอกจากเรื่องการที่ Bosnie อยากแยกดินแดนและพี่ใหญ่Serbieไม่ต้องการให้แยกแล้ว คงมาจากความต่างกันทางศาสนาอีกด้วย   เนื่องจากที่เล่ามาตอนต้น  ชาว Bosnie เกือบ 60 % เป็นพวกอิสลาม  ที่เกิดจากกระบวนการ islamisation เมื่อครั้งแขก turque เข้ามาครอบครอง  ในขณะที่พวก Serbie เป็นคริสต์นิกายกรีกออกโทดอกซ์  

                UN อีกแล้วครับ  เข้ามาช่วยเหลือชาวเมือง Sarajevo ด้วยมนุษยธรรม  โดยส่งขบวนคาราวาน (ไม่ใช่ไปแสดงคอนเสิร์ต) ที่มีอาหาร น้ำ ถุงยังชีพและอุปกรณ์อื่นๆ ฝ่าด่านวงล้อมเข้าไปช่วยชาว Bosnie ใน Sarajevo  การส่งความช่วยเหลือนี้ต้องมีทหาร  UN  หมวกฟ้า  เข้าคุ้มกัน   การคุ้มกันก็ไม่ค่อยได้ผล  เพราะพวกโจรไม่ทราบสังกัด  (ผมเดาว่าพวก Serbie ที่ปิดล้อมเมืองนั่นแหละ) บุกเข้ามาปล้นขบวนคาราวาน 

                อีกด้านหนึ่งของมาตรการ Sanction คือการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับ Serbie โดย UN ประกาศคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อ Serbie

                นอกจากมาตรการคว่ำบาตรและส่งคาราวานไปช่วย Bosnie แล้ว    เมื่อ 5 กรกฏา 1994 UN ยังเสนอแผนสันติภาพให้ทั้งสองฝ่ายสงบศึก  คือ แบ่ง Bosnie เป็น 10 ส่วน ให้ Serbie ไปปกครอง  49 %  และ 51 % ให้ Bosnie ปกครอง   ลองเดาซิครับว่าใครรับและใครไม่รับแผนนี้.........ถูกแล้วครับ  Bosnie ในฐานะผู้มีปากเสียงน้อย,ผู้ถูกปิดล้อมและกำลังน้อยกว่าก็ยอมรับแผนนี้  ส่วน Serbie ไม่ยอมรับแผน  เพราะต้องการเอาดินแดนทั้งหมด

                ในที่สุด  ทั้งสองฝ่ายก็ตกลงกันได้และหยุดยิงเพราะมีการขู่นานัปการจาก UN และ OTAN (หรือ นาโต้นั่นเอง) ตั้งแต่คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ  จนกระทั่งขู่จะเอาเครื่องบินไปทิ้งระเบิดพวก Serbie

                 เมื่อสงบศึก   ผู้รับผิดชอบในการนองเลือดประชาชนก็ถูกจับขึ้น ศาลอาญาโลก (Cour Pénale Internationale) ที่กรุกเฮก (คนละองค์กรกับ ศาลโลกที่ตัดสินยกเขาพระวิหารให้เขมร  แต่เผอิญทั้งสองศาลตั้งอยู่เมืองเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์เหมือนกัน[11]                        

                 บทสรุปจากเหตุการณ์นี้ สำหรับผม ผมว่า อำนาจ เป็นสิ่งสำคัญสุดในการให้คนหลายหมู่หลายเผ่าอยู่ร่วมกันอย่างสงบ  อำนาจอาจติดกับผู้นำเช่นกรณี ติโต  หรืออาจติดกับคณะบุคคล หรือติดกับองค์กรใดๆก็ได้ ที่ใดที่การปกครองสูงสุดขาดอำนาจ  ที่นั่นก็ระส่ำระสาย 

แน่นอนครับ อำนาจได้รับมาหลายรูปแบบ สมัยก่อนโน้น ผู้แข็งแรงสุดคือผู้มีอำนาจมากสุด (ดูกษัตริย์ก่อนๆต้องรบเก่งทั้งนั้นถึงมีราษฎรมาสาวก) ปัจจุบันอาจได้รับมาจากการที่มีกองกำลังมากมีอาวุธมาก หรืออาจได้มาจากการที่เป็นคนมีบารมีมาก หรือมีเงินทองทรัพย์สินมาก ซึ่งจะเป็นแบบใดก็ตามขอให้ขึ้นสู่อำนาจโดยชอบธรรมและประชาชนยอมรับก็เป็นใช้ได้ (ไม่ได้บอกว่าการขึ้นสู่อำนาจต้องเป็นการเลือกตั้งเท่านั้น อาจใช้วิธีอื่นขึ้นมาก็ได้ ขอให้ประชาชนเอาด้วยแล้วกัน) ถ้าใช้แต่แรง เอาแต่รถถังยึดอำนาจอย่างเดียวและประชาชนไม่เอาด้วยก็จะกลายเป็นแบบพฤษภาทมิฬ 

เมื่อผู้นำมีอำนาจแล้วก็จะกลายเป็นเหลิงอำนาจ  ตามสัจจะที่ผมจำไม่ได้แล้วว่าใครกล่าวไว้ “all the power corrupt, and the absolute power corrupt absolutely”  จึงต้องมีระบบตรวจสอบ  ถ่วงดุล  คานอำนาจกันต่างๆนานา การสร้างสมดุลระหว่าง อำนาจของผู้ปกครอง กับ กระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการปกครองและทำให้ประเทศอยู่รอด ถ้าสมดุลนี้เอนไปทาง อำนาจ ผลก็คือ เผด็จการ  ในทำนองกลับกันถ้าสมดุลเอนไปทาง ตรวจสอบ ถ่วงดุล  ผลก็คือ สภาวะไร้ผู้นำ”     

 

(กลับไปข้างบน) /(กลับไปหน้าแรก) / (กลับไปหน้าแรก salon)


 


[1] จาก http://www.economy.co.yu/english/about_yugoslavia/map_of_yugoslavia_balkan_map.html

[2] David Flint-Myriam De Visscher, La Bosnie, édition spéciale, Paris-tournai, 1995

[3] สิ่งก่อสร้างที่เราเรียกว่า โคลีเซี่ยม  เค้าเรียกกันว่า “Ampli-theatre”, theatre คือโรงละครรูปครึ่งวงกลม, ampli แปลว่า สองอัน, สองเท่า   เมื่อโรงละครรูปครึ่งวงกลมมารวมกัน  ก็เลยเรียก amplitheatre     

[4] พวกนี้คือพวกเยอรมันนั่นเอง   หลักฐานของพวก barbarian อาจเขียนว่าพวกโรมันป่าเถื่อนก็ได้  ใครจะไปรู้

[5] ชาว Serbie แพ้แขก Turque แต่ถือว่าสงครามนี้เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของชนชาติ Serbie เพราะเป็นการรวมตัวกันสู้ผู้รุกราน และถือว่าเป็นวันสำคัญชองชาว Serbie ด้วย

[6] จาก http://www.pixelpress.org/bosnia/context/yugo1815.GIF.html

[7] waterloo อยู่ในเขตเบลเยี่ยม  มีอนุสาวรีย์สิงโตคำรามสร้างไว้เป็นที่ระลึก   และนอกจากนี้ยังเป็นชื่อสถานีรถไฟกลางกรุงลอนดอน รถไฟ eurostar เชื่อมฝรั่งเศสกับอังกฤษไปสุดสายทีสถานี waterloo ไม่รู้อังกฤษจงใจตั้งชื่อไว้ข่มฝรั่งเศสหรือเป็นเรื่องบังเอิญ? 

[8] ก่อการร้ายสมัยก่อนทำให้ผู้คนล้มตายกันน้อยนิด  เช่นลอบสังหารผู้นำ  ลอบสังหารนักการทูต   ปัจจุบันระเบิดทีทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายมหาศาล

[9] การกระทำดังกล่าวถือได้ว่าเป็นความผิดฐาน Génocide (ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์), Crime contre l’humanité (อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ) ที่ถือว่าเป็นความผิดระหว่างประเทศ  ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ (La Cour pénale internationale)          

 

[10] สงครามแม้เป็นสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้น  แต่เมื่อจำเป็นต้องเกิดขึ้นแล้ว   ก็มีหลักเกณฑ์อันเป็นจารีตประเพณีในการทำสงครามอยู่เหมือนกัน   อย่างง่ายๆคือ  ยิงทหารได้  ห้ามยิงประชาชน    ถ้ายิงประชาชน  ก็เรียกว่าเป็นอาชญากรสงคราม  ต้องได้รับโทษ   เมื่อทหารยอมแพ้  ต้องเป็นเชลยศึก   ถ้าฆ่าเชลยศึก  ก็เป็นอาชญากรสงคราม  ต้องได้รับโทษ และอยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ (La Cour pénale internationale)  

[11] ศาลโลกนั้นตัดสินกรณีที่คู่กรณีที่ทะเลาะกันเป็นรัฐ  เช่น ไทยทะเลาะกับเขมรในกรณีเขาพระวิหาร  ส่วนศาลอาญาโลก  ตัดสินคดีที่ นาย ก. นาย ข. ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาทำความผิดอาญาบางอย่างที่กระทบกระเทือนมนุษยชาติ เช่นความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์  ความผิดฐานอาชญากรสงคราม เป็นต้น

 

คลิ๊กเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ

 

(กลับไปข้างบน) /(กลับไปหน้าแรก) / (กลับไปหน้าแรก salon)