![]() |
||||||||||||
|
||||||||||||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() สภาพอากาศประจำวัน ![]()
ที่
Aix-en-Provence
การติดต่อที่จำเป็น ลิงค์เพื่อนบ้าน |
ยามเมื่อลมพัดหวน (1) หญ้าแห้วหมวยเมื่อวันวาน(ภาคหลังยุคมืด) ก่อนเริ่มเรื่องมีอะไรมาให้ทายเล่นๆ....นี่คือพรรคการเมืองอะไรเอ่ย.... Les Thaïs qui aiment les Thaïs
-
พรรคไทยรักไทย Parti de la nation thaïe - พรรคชาติไทย Parti du nouvel élan - พรรคความหวังใหม่ Parti de la force religieuse - พรรคพลังธรรม Parti de l’action sociale - พรรคกิจสังคม Parti du développement national - พรรคชาติพัฒนา Parti démocrate - พรรคประชาธิปัตย์
ครับ....เอามาจากหนังสือ l’état du monde 2004 ไม่รู้จะแปลทำหอยอะไร สมชื่อฝรั่งเศสจริงๆ แปลแ-่งทุกอย่าง ที่ฟังแล้วดูตลกที่สุดคือชื่อพรรคไทยรักไทยนี่แหล่ะ คงเป็นชื่อพรรคเดียวในโลกที่ต้องใช้ Pronom Relatif มาตั้งชื่อ แปลออกมาแล้วดูกลายเป็นพรรคที่โรแมนติกที่สุดในโลกยังไงก็ไม่รู้ คนคงคิดว่าสัญลักษณ์ของพรรคคงจะเป็นรูปดอกไม้กับหัวใจ ดูแล้วคงเสี่ยวพิลึก บอกใครก็คงไม่มีใครเชื่อว่าพรรคนี้แหล่ะที่ครองเสียงข้างมากอยู่ในประเทศไทย ส่วนชื่ออีกพรรคหนึ่งที่ฟังแล้วทะแม่งๆ ในหัวใจก็คือพรรคพลังธรรม ใครไม่รู้คงคิดว่าพรรคนี้เป็นตัวแทนของผู้ที่เคร่งศาสนา นุ่งเหลืองห่มขาวกันทั้งพรรค บำเพ็ญบุญ อุทิศส่วนกุศลกันทั้งวัน ...สาธุ
.................................................................
เย็นวันหนึ่ง ขณะเดินเล่นอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่หน้า Palais de Justice อยู่ดีๆ ก็มีคนใส่หน้ากาก ชาค ชีรัก โผล่มาบองชูร์ ตกใจสิครับ คิดว่าคนบ้าจะมาขายกัญชา บ่อยครั้งสถานการณ์เช่นนี้ ผมมักจะปั้นหน้าเชินคอมพรองปาอยู่เสมอ เช่นมีคนถามทางเวลาผมขี้เกียจ หรือขอทานมาขอตังค์ เพราะการมีหน้าเอเชียๆ แบบนี้จะได้เปรียบ ยกเว้นตอนไปจีบสาวญี่ปุ่น เกาหลี
ครับ...เป็นเบอร์โทรจริงๆ แต่ของใครก็ไม่รู้ ข้างในมีตัวหนังสือเต็มหน้ากระดาษ อ่านรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องเป็นส่วนใหญ่ พยายามอ่านอยู่ตั้งนาน จนต้องเอากลับมาเปิดดิกซิยงแนร์ที่ห้องเพื่อความเข้าใจที่ถ่องแท้ สรุปย่อๆ ของกระดาษแผ่นนั้นก็คือประมาณว่า ขณะนี้เป็นที่น่าชื่นชมที่ประธานาธิบดีชีรักอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับอเมิรกาในการทำสงครามกับอิรักอยู่เสมอมา แต่การทำตัวเป็นนักบุญของฝรั่งเศสเสมอมานั้น ในช่วงระหว่างปี 1992–2002 ฝรั่งเศสมีส่วนแบ่งการตลาดด้านการค้าอาวุธสงครามทั่วโลกอยู่ 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าเป็นรายใหญ่อันดับสามของผู้ส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ของโลก นี่หรือคือประเทศที่ต่อต้านสงคราม ?!?!?! แถมตบท้ายด้วยว่าการค้าอาวุธสงครามทั่วโลกนั้น 85 เปอร์เซ็นต์มาจากประเทศสมาชิกถาวร 5 ประเทศของสภาที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ฟังแล้วรู้สึกมั่นคงชิ...โป๋งเลย... แล้วลงท้ายเป็นอีกว่าถ้าจะประณามการทำสงคราม มาประณามการหน้าไหว้หลังหลอกอย่างนี้ดีกว่า ครับ...นี่แปลมาจากที่เขาเขียนครับ อาจมีแต่งเติมนิดๆ เพื่อความมันในอารมณ์ แต่เขาสื่ออย่างนี้จริงๆ ...................................................
เรื่องอย่างนี้มีมานานแล้วครับ แต่หลายๆ ครั้งเราหลอกตัวเองว่ามันไม่มี หลายๆ ประเทศพยายามจะผลิตอาวุธสงครามของตัวเอง หรือไม่ก็ผลิตเพื่อการค้า แต่ของเป็นนี้ต้องใช้ทุนสูงและเทคโนโลยีที่ทันสมัยสุดๆ แถมการค้าขายอาวุธแบบนี้ มักจะมีเรื่องราวทางการเมืองระหว่างประเทศเขามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ เช่นกรณีของที่โปแลนด์ต้องการสั่งซื้อฝูงบิน F-16 จากอเมริกา แต่กว่าจะซื้อได้ในสภาพและราคาที่ต้องการก็ต้องกลายเป็นประเทศที่สนับสนุนสงครามอเมริกา-อิรัก ด้วยเหตุนี้การค้าขายของพวกนี้จึงกลายเป็นการค้าผูกขาดไปโดยปริยาย ถึงแม้จะอยู่ในระบบการค้าเสรีก็ตาม ประเทศไทยเองก็พยายามผลิตอาวุธเป็นของตนเองเช่นกันโดย เช่น กรมสรรพาวุธทหารบก กรมวิทยาศาสตร์การทหารฯลฯ เพื่อลดต้นทุนการนำเข้า ไม่รู้ผลิตไปบ้าง แต่ตั้งแต่เรียน รด. มา เห็นมีแต่แป้งฝุ่นโรยตีนกันตีนเน่าเวลาเดินป่าหลายๆ วัน เทคโนโลยีขั้นสูงชิ..โป๋งเลยล่ะคุณ ส่วนประเทศที่ส่งออกอาวุธนั้น ก็อย่างที่กล่าวมาแหล่ะครับ ห้าประเทศสมาชิกถาวรที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติกลายเป็นประเทศที่เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ มีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันถึง 85 เปอร์เซ็นต์ อย่าว่าแต่ส่งออกอาวุธเลยครับ เจ้าประเทศห้าประเทศเช่นกันนี่แหล่ะ ที่ครอบครองหัวรบนิวเคลียร์อยู่ราว 19,800 ลูก (ปี 2004) คิดเป็นราว 99.1 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ที่มีอยู่ทั่วโลกตามที่ได้รับรายงาน ฟังดูแล้ว มั่นคงจนขนหัวลุกซู่.... ................................................
เรื่องนี้ทำให้ผมสะท้อนใจอะไรขึ้นมาบางอย่าง เป็นที่ถกเถียงกันมาตลอดว่า ความรุนแรง สงคราม การก่อการร้าย ฯลฯ ที่เกิดขึ้นในโลกเน่าๆ ใบนี้ มีต้นเหตุมาจากกลุ่มประเทศมหาอำนาจแทบทั้งสิ้น ไม่สร้างทางตรง ก็สร้างทางอ้อม สนับสนุนกันแบบเปิดเผยบ้าง แบบลับๆ บ้าง และที่สำคัญก็คือการยุส่งชาวบ้านให้ตีกัน แล้วขายอาวุธน่ะถนัดนักแล ว่ากันว่า หลังจากสงครามอ่าวระหว่างอเมริกากับอิรัก อาวุธสงครามกลายเป็นสินค้าที่ขายดีเป็นเทกระจาดของพญาอินทรีย์ เพราะสงครามครั้งนั้น กลายเป็นเวทีทดลองอาวุธต่างๆ ของบริษัทผลิตอาวุธอเมริกันอย่างมันมือ โดยมีกลุ่มผู้นำของประเทศคู่ค้านั่งจิบกาแฟชมเป็นสักขีพยาน ก่อนจะตกลงตัดสินใจซื้อ อย่างกับรายการทีวีไดเร็ค... สงครามเสร็จสิ้น ทหารตายนับร้อย บ้านเมืองยับเยิน นายทุนได้กำไร(อย่างนี้ทุกที) นอกเรื่องอีกแล้วผม..... สิ่งที่ผมสะท้อนใจก็คือ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ มาจากสิ่งที่ประเทศมหาอำนาจก่อไว้ เห็นด้วยกับผมหรือไม่??? เรื่องราวที่จะยกตัวอย่างต่อไปนี้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน...... ..........................................................
ว่ากันว่า เฮีย โอซามา บิน โมฮัมหมัด บิน ลาเดน คนนี้ เป็นบุคคลที่เมดอิน ยูเอสเอ อย่าพูดว่า “ว่ากันว่า” เลยครับ เพราะเป็นที่รู้กันทั้งโลกว่าชายที่ชื่อบิน ลาเดน คนนี้เคยเป็นซีไอเอ ทำงานให้แก่รัฐบาลอเมริกันมาก่อน ก่อนจะน้อยใจแตกคอกันจนต้องแกล้งให้ลูกน้องขับเครื่องบินมาชนตึก ผมก็ไม่ทราบแน่ชัดว่า รัฐบาลอเมริกันได้สร้างเฮียบิน ลาเดนขึ้นมาเพื่อปฏิบัติการณ์อะไร ถ้าหากผมรู้ได้ขนาดนั้น ป่านนี้คงโดนรัฐบาลอเมริกันเก็บไปแล้ว ว่ากันว่า รัฐบาลอเมริกันได้ใช้เฮียบิน ลาเดน ที่เป็นเศรษฐีชาวซาอุคนนี้ เพื่อสอดแนม ล้วงความลับจารกรรมข่าวสารต่างๆ จากตะวันออกกลาง ผมเองก็เลือนๆ นึกไม่ค่อยออกว่าเฮียบิน แกทะเลาะกะลุงแซมด้วยเหตุผลอะไร(เห็นเป็นเว็บของพี่ๆ น้องๆ กัน เลยกล้าเขียนแบบนี้ ถ้าเขียนลงที่อื่นแล้วเขียนแบบจำไม่ได้แบบนี้ มีหวังโดนด่าตาย) เหมือนกับว่าโดนหักหลังจากรัฐบาลอเมริกันที่ตอนนั้นเปลี่ยนไปเข้ากับฝ่ายราชวงศ์ซาอุ แล้ววางแผนเก็บเฮียบิน ว่ากันว่าแกหนีเข้าอิหร่าน ผ่านไปอัฟกานิสถานอยู่สักพัก แล้วข้ามฟากประเทศซาอุไปตั้งรกรากที่ประเทศซูดาน จนนำไปสู่การก่อการร้ายครั้งแรกที่เคนย่า และแทนซาเนีย ครั้งนั้นแหล่ะครับที่คลับคล้ายคลับคลาว่า ผมได้รู้จักการก่อการร้ายครั้งแรกตอนที่สถานทูตอเมริกันประจำกรุงไนโรบี ประเทศเคนย่าถล่มลงมาทั้งแถบด้วยระเบิดติดรถยนต์เมื่อปี 1998 และในตอนนั้นเอง เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อของเฮียบิน ซึ่งขณะนั้น เป็นเพียงดาราใหม่หน้าใสที่กำลังพยายามก้าวเข้าวงการหมาดๆ แต่ปัจจุบันนี้ เขากลายเป็นบุคคลที่ค่าตัวแพงพอๆ กับบริทนีย์ สเปียร์ ที่รัฐบาลอเมริกันอยากได้ตัวมากที่สุดในโลก !!! ผมจำได้ว่าตอนเรียนวิชาภาษาอังกฤษตอนอยู่มหาลัยปี 2 อาจารย์ให้ทำพรีเซ้นท์หน้าชั้นเกี่ยวกับบุคคลสำคัญของโลก เป็นผมนี่แหล่ะที่เลือกทำเรื่องของเฮียบิน ลาเดน ผมจำได้ว่าคำถามสุดท้ายที่อาจารย์ถามผมว่า ทำไมถึงทำเรื่องของบิน ลาเดน ล่ะ ผมตอบไปว่า “ก็เขาเป็นคนที่พูดจริงทำจริงดีครับ” อาจารย์ถึงกับอึ้งก่อนถามกลับว่า “ผู้ก่อการร้ายเนี่ยนะ” “อ้าว....แล้วไงล่ะครับอาจารย์”... หากจะถามถึงผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวบิน ลาเดนมากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นเหตุการณ์เครื่องบินสองลำพุ่งชนตึกคู่เวิร์ดเทรดเซ็นเตอร์ พูดถึงเมื่อไหร่ก็ขนลุกซู่ พลันนึกถึงภาพเครื่องบินลำที่สองพุ่งชนตึกสดๆ ทางทีวีต่อหน้าต่อตา แบบไม่ใช้ลวดสลิง ไม่ใช้ตัวแสดงแทน เป็นการเปิดศักราชแฟชั่นการก่อการร้ายอย่างแท้จริง..... เพราะจากปี 1995-ปี 2000 ก่อนเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 มีการก่อการร้ายใหญ่ๆ เกิดขึ้นในโลกเพียง 5 เหตุการณ์เท่านั้น แต่ตั้งแต่เหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 เป็นต้นมาจนถึงตอนนี้ มีการก่อการร้ายใหญ่ๆ เกิดขึ้นถึง 18 ครั้ง แต่จะว่าไป สำหรับผม ผมมีคำถามในหัวมากมายเกี่ยวกับเฮียบินคนนี้ เอาไว้มีเวลาจะลองเขียนให้อ่าน ................................................................
เอาไว้ต่อครั้งหน้านะครับ.....
|