เมื่อ EU ขยับเข้าหาจีน
เมอร์ซิเออปองด้า
พรพล น้อยธรรมราช นักเขียน(เกือบ)อิสระ
การที่กลุ่มสหภาพยุโรปหรือ EU
กำลังพิจารณายกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางการค้าขายอาวุธสงครามกับจีน
พูดกันภาษาชาวบ้านก็คือ EU กำลังจะขายอาวุธ
และให้ความร่วมมือทางยุทโธปกรณ์กับจีน
ความจริงแล้ว
ประเด็นนี้ได้รับการนำขึ้นมาพิจารณาให้เป็นรูปธรรมมาตั้งแต่ต้นปี 2547
แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น
จนทำให้ประเด็นนี้ไม่ค่อยที่จะได้รับความสนใจนัก แม้แต่สื่อในยุโรปเอง
จนกระทั่งต้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา หลังจากการทัวร์ประเทศใน EU
ของนายเวิน เจีย เป่า นายกรัฐมนตรีของจีน ทาง EU
ได้ส่งสัญญาณที่เป็นข่าวดีแก่รัฐบาลจีนในการพิจารณายกเลิกการคว่ำบาตรการค้าขายอาวุธกับจีน
ด้วยเหตุผลจากความรุนแรงในการปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงในเหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี
2532
เหตุผลของการคว่ำบาตรในครั้งนั้น ทาง EU
ได้ให้เหตุผลในเรื่องของการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลจีน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นที่รู้กันดีว่า การกระทำของ EU ในครั้งนั้น
เป็นส่วนหนึ่งของสงครามเย็น ซึ่งเป็นระเบียบโลกในสมัยนั้น
ในการที่ EU ออกมาประกาศพิจารณายกเลิกการคว่ำบาตรครั้งนี้
จึงมีแนวโน้มที่เป็นไปได้ว่า
นี่อาจจะเป็นอาการเริ่มต้นของการพัฒนาไปสู่ระเบียบโลกรูปแบบใหม่ในอนาคต
หากจะพูดว่า เป็นระเบียบโลก
แม้ว่าอาจจะไม่เชิงที่จะพัฒนาไปถึงขั้นระเบียบโลก
แต่อย่างน้อยก็จะเกิดมิติใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
การเลือกกลุ่มสังกัดบนเวทีโลก
รวมถึงภาพของความร่วมมือและเครือข่ายใหม่ๆ
ที่จะนำไปสู่การคานอำนาจถ่วงดุลบนการเมืองโลก
ที่พัฒนามาถึงยุคไร้ขื่อไร้แปในปัจจุบัน
หลังยุคสงครามเย็น เป็นที่รู้กันดีว่า
มีเพียงประเทศเดียวครองความเป็นอภิมหาอำนาจของโลกได้
นั่นคือสหรัฐอเมริกา
ด้วยยุทโธปกรณ์พร้อมบริการทดลองอาวุธจริงก่อนขายในตลาดโลก
โดยใช้สงครามอ่าวครั้งแรกเป็นเวทีทำแผนการตลาด
รวมถึงการครองอำนาจทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนข้ามประเทศและเงินดอลลาร์
ทำให้ไม่มีใครปฏิเสธว่าในช่วงทศวรรษก่อนสหัสวรรษใหม่
สหรัฐยิ่งใหญ่และเป็นมหาอำนาจแท้จริง
แต่ช่วงปลายก่อนหมดสหัสวรรษเก่า
สหรัฐได้ส่อความเน่าเฟะบนเวทีการเมืองระหว่างประเทศมากมาย
อีกทั้งประเทศต่างๆ เริ่มรู้ทัน จนทำให้ทุกวันนี้
สหรัฐได้เข้าสู่ยุคเสื่อมถอยทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ
และความเชื่อมั่นในระดับโลก
หลายชาติเริ่มทำทีเบือนหน้าหนีไปหาพันธมิตรใหม่บนเวทีโลก
ในช่วงหลังจากที่สหรัฐและพันธมิตรละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติเข้าโจมตีและยึดอิรักด้วยเหตุผลต่างๆ
นานา ซึ่งเป็นการทำลายความขลังของสหประชาชาติ
และทำลายความน่าเชื่อถือของตนเองอย่างไม่มีชิ้นดี
แต่เพื่อให้ตัวเองคงอยู่ในฐานะประเทศมหาอำนาจ
จึงต้องถลำลึกกับสงครามเข้าไปเรื่อยๆ
และจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ก็เรียกได้ว่า
ถึงจุดหักเหของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและกลุ่ม EU
ซึ่งมีจุดยืนในเรื่องดังกล่าวต่างกันชัดเจน
แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับการที่ EU
พิจารณายกเลิกการคว่ำบาตรการค้าขายอาวุธกับจีน
ประเด็นนี้ต้องกลับมามองที่ EU ก่อน...
ประเทศในยุโรปซึ่งประกอบด้วย
ประเทศเล็กประเทศน้อยได้เข้ารวมตัวกันและพัฒนาผ่านร้อนผ่านหนาวจนกลายมาเป็น
EU
ก็เพื่อรวมกลุ่มสร้างอำนาจในการเจรจาต่อรองในทุกเรื่องกับประเทศใหญ่ที่มีประชากรมาก
โดยเฉพาะสหรัฐ
ในความรู้สึกของ EU นั้น ยังไงก็เป็นขั้วตรงข้ามกับสหรัฐ
โดยเฉพาะกับประเทศที่เป็นมหาอำนาจหัวหอกหลักของ EU
อย่างฝรั่งเศสและเยอรมนี ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะในกลุ่ม EU นั้น
เรียกได้ว่า มีเพียงสองประเทศนี้ที่มีขนาดใหญ่ มีจำนวนประชากรมาก
มีเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง (แม้ในปัจจุบันเศรษฐกิจของสองประเทศนี้จะอยู่ในช่วงขาลงก็ตาม)
เป็นตัวจักรสำคัญที่ขับเคลื่อน EU
จึงมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจภายในกลุ่ม EU
ปัจจุบันกลุ่ม EU
ได้ขยายอาณาเขตเข้าไปในประเทศเกิดใหม่ของอาณาจักรโรมัน
ยิ่งทำให้อำนาจในกลุ่ม EU ของฝรั่งเศสกับเยอรมนีมากขึ้น
จากการที่สองประเทศนี้นำเม็ดเงินไปลงทุนในประเทศสมาชิกใหม่มหาศาล
จึงไม่ต้องแปลกใจว่า การยกเลิกการคว่ำบาตรการค้าขายอาวุธกับจีนนั้น
ผู้ที่จะได้รับประโยชน์มหาศาลจากตรงนี้ก็คือฝรั่งเศสกับเยอรมนี
เพราะเป็นเพียงสองประเทศที่มีศักยภาพพอที่จะผลิตอาวุธทางการค้าได้
พูดง่ายๆ ก็คือ
นี่เป็นการยกเลิกการคว่ำบาตรการค้าขายอาวุธระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมนีกับจีนนั่นเอง
แล้วทำไมฝรั่งเศสและเยอรมนีจึงอยากเปิดการค้าอาวุธกับจีน??
ในที่นี้มีประเด็นพิจารณาอยู่ 3 ประเด็นคือ
1.จีนเป็นตลาดใหญ่ที่มีกำลังการซื้อสูงมาก
จะทำให้ฝรั่งเศสและเยอรมนีสามารถขายอาวุธได้มาก
ซึ่งจะทำให้มีรายได้เพิ่มเข้าประเทศเพื่อช่วยบรรเทา
และอุ้มสภาพเศรษฐกิจขาลงได้
2.เป็นการสร้างพันธมิตรครั้งใหญ่ของภูมิภาคกับประเทศที่เนื้อหอม
และเติบโตเร็วที่สุดในชั่วโมงนี้อย่างจีน
อีกทั้งยังมีจุดยืนที่เป็นขั้วตรงข้ามกับสหรัฐเช่นเดียวกัน
ทำให้การขยับในครั้งนี้มีนัยทางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระหว่างประเทศในอนาคตอย่างชัดเจน
3.เพื่อโดดเดี่ยวสหราชอาณาจักร พันธมิตรคู่ขาของสหรัฐในเวทียุโรป
เพราะแน่นอนว่า การที่ EU ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรครั้งนี้
ประเทศที่ประกาศตัวเคียงข้างสหรัฐ
อย่างสหราชอาณาจักรคงจะไม่กลืนน้ำลายตัวเองไปค้าอาวุธกับจีนเป็นแน่
ซึ่งจะส่งผลให้ฝรั่งเศสและเยอรมนี กลายเป็นมหาอำนาจในเวทียุโรป
อีกประเด็นหนึ่ง คือ EU อาจจะใช้จีนเป็นประตูเชื่อมกับเอเชีย
ทั้งในเรื่องการค้าธรรมดาหรือการค้าอาวุธ
โดยเฉพาะกับประเทศที่เป็นเครือข่ายของจีนทั้งหลาย
โดยที่ไม่จำเป็นต้องลงไปเปลืองตัว
ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นในการสร้างเครือข่ายใหม่
ในระบบการเมืองระหว่างประเทศในอนาคต
คงตอบคำถามที่ว่า ทำไม EU
จึงต้องการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรการค้าขายอาวุธกับจีน
ซึ่งหากกระบวนการการยกเลิกนี้สำเร็จ
จะก่อให้เกิดรูปแบบของระบบการเมืองโลกแบบใหม่ ที่จะมีสหรัฐและพันธมิตร
กับ EU จีน รัสเซียและเครือข่าย
เป็นสองขั้วอำนาจที่จะคานกันในระบบการเมืองโลกในอนาคต
สำหรับแนวโน้มที่จะเกิดสถานการณ์สงครามเย็นภาคสองขึ้นอีกครั้งก็เป็นได้
เพราะเริ่มมีการสะสมอาวุธ
และเทคโนโลยีการสงครามเข้ามาเกี่ยวข้องนอกเหนือไปจากการค้าขายธรรมดา
ซึ่งจะต่างจากคราวที่แล้วไปตรงที่
นี่ไม่ใช่สงครามเย็นที่เกิดจากอุดมการณ์ทางการเมือง
แต่อาจจะเกิดจากจุดยืนทางการเมืองเกี่ยวกับตะวันออกกลาง
และผลประโยชน์ทางธุรกิจ
แล้วการจับตาในเรื่องนี้มีประโยชน์กับไทยอย่างไร?
บนเวทีนานาชาติ
ไทยเองไม่ค่อยจะมีบทบาทหรือเป็นตัวแสดงหลักในเรื่องของความมั่นคงระหว่างประเทศกับเขาสักเท่าไร
เพราะไทยไม่มีศักยภาพทางด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะด้านอาวุธสงคราม
อีกทั้งเป็นประเทศเล็กที่พยายามไม่สร้างปัญหาอะไรกับใคร
แต่ก็มิใช่ว่าไทยจะไม่ต้องไปสนใจกับการขยับเขยื้อนในครั้งนี้
การที่ไทยพยายามจะเป็นครัวของโลก ศูนย์กลางแฟชั่นอีกแห่งหนึ่งของโลก
ศูนย์กลางบริการสุขภาพของโลก ชุมทางการบินของโลก OTOP การท่องเที่ยว
เราจำเป็นต้องดำเนินงานและดูตาม้าตาเรือ เพราะจุดยืนบนเวทีโลกนั้น
มีผลอย่างยิ่งกับการค้าขายของไทย เช่น ตลาดการค้า
การขอสิทธิพิเศษด้านความร่วมมือ ด้านภาษี
หรือการลงนามการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ
เพราะการเป็นประเทศเล็กที่ต้องลู่ไปตามลมอย่างนี้
คงไม่สามารถที่จะไปทำการค้าตามอำเภอใจได้
การมองแนวโน้มในอนาคตมีผลต่อยุทธศาสตร์การค้าเป็นอย่างยิ่ง
เพราะในระบบเครือข่าย การค้าขายรูปแบบใดกับใคร หรือ ณ เวลาใด
ย่อมมีผลต่อการค้าขายในอีกประเทศหนึ่ง หรือภูมิภาคหนึ่งตามมาด้วย
การคาดการณ์แนวโน้มจะทำให้เราสามารถเตรียมตัวเองทั้งในระดับรัฐบาลในการหาความร่วมมือ
หรือขอสิทธิพิเศษจากประเทศหรือภูมิภาคที่ต้องการค้าได้ทันท่วงที
และเป็นระบบที่ผ่านการวางแผนอย่างดี
รวมถึงในระดับเอกชนในการวางแผนการหาตลาดและคู่ค้าที่ถูกที่ถูกเวลา
อย่าลืมว่า ประเทศเล็กแบบไทยต้องอาศัยเงินลงทุนจากต่างประเทศ
ไม่สามารถที่จะทำธุรกิจโดยไม่คำนึงถึงระบบการเมืองในเวทีโลกได้ ฉะนั้น
อย่าเฉยเมยต่อการขยับอะไรเล็กน้อย ในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ
เพราะการส่งสัญญาณบางอย่าง จะกลายเป็นตัวกำหนดอนาคตของโลกได้ |