ศัพท์กฎหมายฝรั่งเศส

Internet pour le droit

เรื่องอยากเล่า

Salon d'Aix

webboard

คุยกับดอกแก้ว

จดหมายเหตุ


ดู TV ฟังวิทยุ อ่าน นสพ.
การ Set เพื่อพิมพ์ไทย
โทรกลับไทย IRADIUM
โทรกลับไทย Telerabais

ที่ตั้งและแผนที่ Aix
การเดินทางและตารางรถ

ตารางรถประจำทางใน AIX
ตารางรถไป Marseille และ Plan de campagne
ตารางรถPays d'Aix ไป Plan
    สภาพอากาศประจำวัน
    ที่ Aix-en-Provence


Webboard

Thaiaixois Gallery
ศัพท์กฎหมายฝรั่งเศส
Internet pour le droit
เรื่องอยากเล่า (วิชาการ)
สภากาแฟ Salon d'Aix
คุยกับดอกแก้ว
จดหมายเหตุ
ส่ง e-cartes  virtuelles d'Aix-en-Provence

(กระทู้)การขอทุนเรียนที่ฝรั่งเศส

การปรับหลักสูตรมหาวิทยาลัยของฝรั่งเศส

คู่มือศึกษาต่อในประเทศฝรั่งเศส (โดยสารสนเทศการศึกษาต่อต่างประเทศ)

คู่มื่อเลือกมหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส( Guide Lamy des 3es cycles)

โรงเรียนสอนภาษาฝรั่งเศส IEFEE


มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในฝรั่งเศส

มหาวิทยาลัยใน Aix
Université de Provence 
Université de la Mediterranee

Université Paul Cézanne (Universitéde Droit, d'Economie et des Sciences d'Aix-Marseille3)

สถาบันศึกษาอื่น


ที่พักอาศัย
 - ที่พักของมหาวิทยาลัย
( CROUS)

ที่พักของเอกชน
 
- (Estudines)
 
-  (Citadine)  
 -
หาที่พักกับ adele.org
 - หาที่พักกับ office de tourisme
 - พักที่บ้านพักเยาวชน(Auberge de jeunesse)

การขอเงินช่วยเหลือค่าที่พัก(CAF)


การติดต่อที่จำเป็น

การติดต่อขอใบอนุญาตพักอาศัยในประเทศ(Carte de sejour)
 - เอกสารที่ต้องใช้ 1/ 2 /3
 - ติดต่อ
Prefecture des Bouches-du-Rhone
 - (กระทู้Thaiaixoisที่เกี่ยวข้อง)

การประกันสุขภาพ
 - การติดต่อประกันสุขภาพ
Securite sociale)
 - MEP ประกันสุขภาพของนักเรียน(อายุไม่เกิน 25 ปี)
 - Assurance étudiant (อายุไม่เกิน 40 ปี)

อื่น ๆ
 - การทำงานนอกเวลา
 - การต่ออายุหนังสือเดินทาง


ลิงค์เพื่อนบ้าน
Thai Law Reform
สมาคมนักเรียนไทยในรั่งเศส
เพื่อนไทยในเกรอนอบ
เพื่อนไทยในตูลูส
เพื่อนไทยในลียง

ABC-Bittorrent Client โดย pingpong
เพื่อนไทยในเบลเยี่ยม
สำนักงานผู้ดูแลนักเรียนฯ
เล่าข้ามฟ้ากับนาย Baguette
Pokpong's
Nujern's homepage
Café Lunar

Cafe Lunar สาขา 2
Le Journal de TAUNG
Artsstudio

 

 

สวรรค์ทะเลฝั่งตะวันตก

                ราวกลางเดือนเมษายน ขณะที่เมืองไทยมีสภาพอากาศอภิมหาพญาร้อนถึงตับและลำไส้ใหญ่ ผมและ เพื่อนๆ นักเรียนแลกเปลี่ยนจากหลายชาติหลายภาษารวมทั้งไทย ได้มารวมตัวกันเป็นโขลงอยู่หน้าที่ทำการของ โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน การรวมตัวครั้งนี้หาใช่มาประท้วงราคาผลิตผลการเกษตรที่ตกต่ำ เหมือนบาง ประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ แต่การรวมตัวครั้งนี้คือความสนุกสนาน เพราะนี่คือการจัดทัวร์อย่างเป็น ทางการครั้งใหญ่(และครั้งเดียว)ของคณะนักเรียนแลกเปลี่ยน โดยมีจุดหมายอยู่ที่เมืองเลียบฝั่งทะเลด้านตะวันตก โดนมีเวลาถึงเกือบครึ่งเดือนภายใต้ชื่อทริปที่ตั้งอย่างกิ๊บเก๋ว่า “The Garden Route Tour”

        เราออกเดินทางจากเมือง Johannesburg ในเวลาเกือบเที่ยง โดยรถบัสที่หรูน้อยมากอย่างน่าตกใจ เบาะยาวๆ นั่งได้ 3 คน ไม่มีแอร์ ดูแล้ว็เหมือนรถทัวร์ชั้น 3 บ้านเรา ก็แหงล่ะ Trip ครั้งนี้เราจ่ายกันคนละเพียง 700 แรนด์ หรือประมาณ 4,900 บาทเท่านั้นเอง หากไปเที่ยวทะเลฝั่งตะวันตกกันเอง ค่าใช้จ่ายเท่านี้ก็จ่าย ได้แค่ค่ารถทัวร์ไปกลับเท่านั้น ในขณะเดินทางก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้สำหรับคนแต่ละชาติที่นานๆ ทีจะเจอ เพื่อนๆ ชาติเดียวกัน มาเจอกัน ทำให้ทริปนี้มีไม่ต่ำกว่า 5 ภาษา คุยกันโขมงโฉงเฉง เหมือนเป็นลูกหลานนักการ เมืองส่งมากันทั้งนั้น เราเดินทางกันเกือบหนึ่งวันเต็มๆ เราออกเดินทางตั้งแต่เที่ยง แต่ไปถึงนู่นเกือบเช้าของอีกวัน ตลอดคืนมีแต่ความหนาวเหน็บ หมอกหนาเต็มรถ พื้นรถแฉะไปด้วยน้ำ ผมจำไม่ได้ว่าเอาชีวิตรอดจากการเดิน ทางวันนั้นมาได้ยังไง จนมาถึงที่หมายที่แรกของเราก็คือ Cape Town เราพบเพื่อนๆ ที่รอสมทบเราอยู่ที่นั่น เราเข้าพักที่ Hostel เล็กๆ แถว Muizenberg

        Cape Town จัดว่าเป็นเมืองใหญ่อันดับที่สองรองลงมาจาก Johannesburg สถานะของเมือง Cape Town นั้นก็คือการเป็นเมืองหลวง และเมืองท่าที่สำคัญที่สุดของประเทศ นอกจากนี้ ก็ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ผู้คนทั่ว โลกอยากมีโอกาสมาเยือนมายลให้เห็นเต็มสองลูกกะตาเล็กๆอีกด้วย 

Cape Town นั้นอยู่ทางใต้สุดของประเทศ อยู่ในเขตจังหวัด Western Cape ที่เป็นจังหวัดที่มีทรัพยากร ธรรมชาติที่สวยสดงดงามมาก และมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย

                หลังจากหลับได้ไม่นาน เราก็ต้องตื่นขึ้นแบบตาปรือๆ เป็นผีดิบ เพื่อจะเริ่มเที่ยวๆๆๆ และเที่ยว กันอย่างเดียว พอผมออกจากผ้าห่ม ล้างหน้าแปรงฟัน พาร่างเล็กๆ โผล่หัวพ้น Hostel เท่านั้นแหล่ะ ผมถึงกับตะลึง และงงชีวิตไปพักใหญ่ว่าตัวเองกำลังอยู่ที่สวรรค์ชั้นไหน ความสวยงามแบบสงบ เรียบง่าย มีเสียงคลื่นซัด ลมพัดตลอด แถมอากาศยังเย็นๆ นิดๆ ผมแทบไม่เชื่อสายตาคู่น้อยของผมที่ได้มาพบเห็นที่แบบนี้

                หลังจากนั้นสายๆ เราก็มีกิจกรรมเล็กน้อยริมชายหาด จากนั้นก็ไปตลาดนัดในเมืองที่มีชื่อว่า Greenmarket Square และแล้วเรื่องราวที่แปลกก็เกิดขึ้น เด็กไทยทั้งหมด ปฏิเสธการไปช้อปปิ้งด้วยประการ ทั้งปวง เนื่องจากทุกคนใจตรงกันกับการหลงไหลเมืองๆ นี้เป็นอย่างมาก เราใช้เวลาที่เขาให้ไปเดินตลาดนัด มาเดินเล่นในตัวเมือง Cape Town กันหมด เมืองนี้ช่างแตกต่างกับ Johannesburg อย่างสิ้นชั้นสิ้นเชิงอย่างน่าตกใจ บ้านเมืองสะอาดเรียบร้อย ตึกรามก็สวยงาม เหมือนอยู่คนละประเทศกัน เพื่อนผมคนไทยที่อยู่ที่ Cape Town พาพวกเราคนไทยทั้งหมดเดินเล่นกัน ยกเว้นเพื่อนคนนึงที่กำลังม่อสาวบราซิลและตัดสินใจแยกทางกับคนเผ่า พันธุ์เดียวกันอย่างไร้เยื่อใย แต่การเดินครั้งนี้ ผมเองผมก็ไม่ได้เห็นอะไรมาก เราเดินเล่นอย่างไร้จุดหมายใน ชีวิตสักพัก เราก็ขึ้นรถไฟกลับที่พักกัน เราซื้อตั๋วชั้น3 แต่ดันทะลึ่งขึ้นผิดไปขึ้นชั้น1 รู้ถึงไหนอายถึงนั่น แต่ขอ โทษ ชั้น1 เบาะนวม พนักเบ้อเริ่ม นั่งสบาย ต่างกับชั้น3 ที่ที่นั่งเป็นพลาสติกแข็งเล็กๆ เป็นราว ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า..(ท่าทางเหมือนภูมิใจแต่ไม่) และเราก็ถึง Hostel กัน พอตกดึกเราก็ไปตะลุย Waterfront กัน อย่างที่บอกไว้ว่า นี่เป็น Waterfront แบบ Original ที่สุดของประเทศ ซึ่งมีห้าง มีร้านขายของ มีร้านอาหาร เครื่องดื่มเยอะมาก เหมือนที่ Johannesburg แต่ที่นี่เป็นทะเลจริงๆ เป็นท่าเรือจริงๆ ฉะนั้น ถ้าพูดถึงเรื่อง ของบรรยากาศแล้ว ที่ Johannesburg นั้น เทียบไม่ติดเลย และก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาท่าเรือจริงๆ เหมือนใน หนังเลย สุดยอดมาก  พวกเราพากันเดินเที่ยวจนทะลุปรุโปร่ง โดยมีเพื่อนๆ ที่อยู่กับครอบครัวที่นั่นเป็นคนนำทาง

ก่อนกลับ ผมกับเพื่อนคนหนึ่งมานั่งจับเข้าคุยกันที่ร้านกาแฟ เราดวด Espresso ไปคนละ 2 แก้ว ตั้งแต่เกิดมา ผมเองไม่เคยกินกาแฟแก่ขนาดนี้มาก่อนเลย เล่นเอาวันนั้นผมนอนไม่ได้ทั้งคืน ต้องออกมาเดินเล่น ดูฟ้าดูดาวอยู่คนเดียว

วันต่อมา เราต้องรีบออกไปกันแต่เช้า ผมรู้สึกว่าผมได้นอนอยู่ประมาณ 10 นาที เรารีบขึ้นรถออกไป โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่บริเวณเขต Cape Peninsula ซึ่งคนขับรถแสนใจดี ขับพาเราอ้อมรอบเขตแหลมแห่ง นี้ให้เราได้ยลโฉมกันอย่างเต็มตา บอกได้คำเดียวว่าสวยมากๆๆๆ เราผ่านไปที่ Chapman’s Peak ซึ่งเป็นถนน อันเลื่องชื่อในเรื่องของทิวทัศน์อันสวยงาม ซึ่งถนนแห่งนี้จะลัดเลาะไปตามริมผาหินเลียบฝั่งทะเลเริ่มตั้งแต่ Hout Bay และไปสิ้นสุดที่ Noordhoek โดยมีการกล่าวขวัญกันว่าที่ Chapman’s Peak แห่งนี้นั้น เป็นหนึ่งในเส้นทางเลียบผาหินริมฝั่งทะเลที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ว่าเข้านั่น แต่เท่าที่ Chapman’s Peak ได้ผ่านลูกกะตาผมนี่ คำกล่าวนั้นคงจะไม่ได้เกินเลยจากความเป็นจริงเลย

 จากนั้น เราก็ไปหยุดกันที่สวนพฤษศาสตร์ชื่อดังของประเทศที่มีชื่อว่า Kirstenbosch Botanical Gardens จะว่าไปที่สวน Kirstenbosch แห่งนี้ ใครไปใครมา Cape Town เป็นต้องมาแวะเยี่ยมเยือน สวน Kirstenbosch แห่งนี้ตั้งอยู่บนเชิงเขา(ตีนดอย) Table Mountain เป็นสวนพฤษศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมาก เป็นที่อนุรักษ์ พันธุ์พืชของแอฟริกาใต้กว่า 6,000 สปีชี่ส์(เขาว่างั้น) ที่สวน Kirstenbosch ที่นี่ สิ่งที่สุดจะเข้าไปแล้วเตะตาก็คือ การจัดวาง ตบแต่งสวนต้นไม้ได้อย่างงดงามลงตัว และหลากสีสันชนิดใครมาก็ต้องชอบ พวกเราใช้เวลา ส่วนใหญ่กับการชักภาพเก็บความทรงจำกัน แต่ผมเองก็ดูของแบบนี้ไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ เลยไม่ค่อยจะดื่ม ด่ำกับมันมาก

เมื่อออกจากสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ได้ เราก็มุ่งหน้าไปที่ที่ผมกระหายอยากพบ อยากเจอ อยากเห็น อยากสัมผัส มาตั้งแต่ม.3 ที่เรียนวิชาสังคมศึกษาเรื่องทวีปแอฟริกา ซึ่งนั่นก็คือ Cape Of Good Hope หรือแหลมกู๊ดโฮป ที่เรารู้จักกันดี ผมตื่นเต้นมากๆ ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตนึงจะได้มีโอกาสมาที่นี่ และแล้วไม่น่าเรา ก็มาถึงครับ ผมรีบวิ่งมาด้วยความตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจ สถานที่ในฝันของผม ขณะนี้มันอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่อย่างที่ เคยบอกไว้ว่า ทะเลทางด้านนี้แทบไม่มีชายหาด แต่จะเป็นหน้าผาสูงชันและหินโสโครกแทน แหลมกู๊ดโฮปก็เช่น เดียวกัน มันไม่ได้เป็นชายหาดสุดหรูให้คุณนายเดินทอดน่องแต่มันเป็นหน้าผาสูงที่ต้องใช้พละกำลังปีนขึ้นไป ค่อนข้างมาก แต่นั่นแหล่ะคือความมัน ผมเดินขึ้นไปเรื่อย ย่างกรายอย่างอุกอาจช้าๆ (เนื่องจากเมื่อคืนไม่ได้นอน) ผ่าหินก้อนแล้วก้อนเล่า ผ่านต้นพืชต้นเล็กๆ ที่ขึ้นตามซอกหิน ยิ่งเดินขึ้นไปสูงขึ้นเรื่อยๆ ความงามของมหาสมุทร แอตแลนติกทางใต้ก็ค่อยๆ เผยโฉมหน้าออกมาเรื่อยๆ แต่ใครที่ต้องการมาเยือนนั้น ไม่ต้องห่วงว่าจะเหนื่อย มากมาย เพราะระยะทางจากที่จอดรถไปถึงที่หมายนั้น ไม่ได้ไกลมาก และแล้วก็ถึงจนได้ ท่านผู้อ่านครับ… มันคือสวรรค์อีกแล้ว นี่คือแหลมกู๊ดโฮป ใต้สุดของพื้นทวีปใหญ่ ตอนนี้ผมอยู่ใต้สุดของทวีป เย่… ผมตะโกนบอกกับตัวเองเหมือนคนบ้าเช่นนั้นจริงๆ ผมตรงไปที่ผาสูงชัน(สูงมากๆ) หากพ้นจากผาสูงนี่ก็เป็นเหว ที่มีทะเลและคลื่นที่รุนแรงและหินโสโครกรอรับคุณอยู่หากคุณมีโอกาสพลัดตกลง ไป บรรยากาศข้างบน นี้ยอดเยี่ยมมาก ลมค่อนข้างแรงแต่สดชื่น ผมพยายามมองไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้(เผื่อจะเห็นขั้วโลกใต้ ฮ่าๆๆ) ผมเห็นฝูงปลาวาฬฝูงใหญ่กำลังเล่นน้ำกันอย่างมีความสุข ไม่ต่างกับผมที่ได้ยืนอยู่บนนี้  ผมอยากจะอยู่บนนี้ที่นี่ให้นานกว่านี้ แต่หลังจากชักภาพ 2-3 ภาพ เราก็ต้องรีบวิ่งกลับไปเพราะเรามีอีกหลายที่ที่เราต้องไป จนเกือบจะไม่ทันรถ ทิ้งแหลมกู๊ดโฮปไว้เบื้องหลัง และเก็บไว้ในความทรงจำ เมื่อขึ้นมาถึงบนรถได้ ผมรู้สึกหมดแรงข้าวต้มกุ๊ยสามชาม หมดฤทธิ์นอนแผ่อยู่บนเบาะ ทำให้ที่ที่จะไปต่อไป ก็คือที่Cape Point ผมต้องปฏิเสธมันอย่างฝืนใจ ทำให้ผมไม่มีโอกาสจะนำบรรยากาศบริเวณ Cape Point มาเล่าให้ฟัง แต่ก็พอจะบอกได้ว่า มันเป็นจุดชมวิวที่คล้ายๆ กับที่แหลมกู๊ดโฮปนั่นแหล่ะ เป็นผาชัน การเดินขึ้นไปก็ใช้วิธีเดียวกัน ถ้าจะอธิบายให้ละเอียดสักหน่อย ก็คือว่า ตรงปลายของแหลมกู๊ดโฮปนั้น จะเป็น 2 แง่ง ยื่นออกไปในทะเล แง่งทางขวาจะเป็น Cape Of Good Hope ส่วนทางซ้ายจะเป็น Cape Point ซึ่งข้างบนนั้นจะมีประภาคารตั้งอยู่ด้วย และที่สำคัญ ตรงบริเวณ Cape Point นี่แหล่ะ ที่เป็นจุดแบ่งระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแอตแลนติก

ในตอนขากลับเรานั่งรถไปที่ Boulders ไปดูนกเพนกวินแสนน่ารักที่ว่ายมาอยู่เต็มหาด นกเพนกวิน พวกนี้จะเป็นคนละพันธุ์กับแถวขั้วโลกเหนือ ใครมาดูก็รู้เพราะตัวเล็กว่ามาก แต่ถึงอย่างไรมันก็น่ารัก แต่การเข้าไปดูนั้น เราเข้าไปดูได้เพียงห่างๆ การจะเข้าไปใกล้ๆ สนิทชิดเชื้อแบบใกล้ชิดพี่เบิร์ดนั้นไม่อาจทำได้ โดยเขาจะวางเชือกไว้แล้วมีเจ้าหน้าที่คอยมาแลดูพวกเราจ้องจับผิดเวลาเราล้ำเส้นยิ่งกว่าครูฝ่ายปกครอง แต่คน ไทยนี้แปลก เวลาเขาไม่ให้ทำเขาไม่ให้รู้ ยิ่งอยากทำอยากรู้ ว่าแล้วเราก็แอบๆ เข้าไป พอเห็นเจ้าหน้าที่ พวกเราก็กระโดดออกมา แล้วก็เข้าไปอีก พอเหลือบเห็นหน้าเหี้ยมๆ เราก็โดดออกมา เป็นอันว่าเราก็ได้รูป ถ่ายคู่กับเพนกวินน้อยมากันคนละภาพสองภาพเป็นที่สนุกสนานกัน จากนั้นเราก็เดินทางกลับกัน

ในช่วงขากลับ ซึ่งเป็นเวลาบ่ายๆ แก่แล้ว เราก็มาแวะร้านขายหินแห่งหนึ่งในบริเวณเมือง Simon’s Town ผมจำชื่อร้านไม่ได้แล้ว ความน่าสนใจของร้านนี้คือการนำเอาหินที่มีลวดลายงดงามมาทำเป็นงานฝีมือต่างๆ ที่ผมแปลกใจนั้น ไม่ใช่ตัวงานหรอกครับ แต่เป็นตัวหินที่มีลวดลายแปลกๆ ทั้งสวยงามจนถึงน่ากลัว บางก้อนเป็น ลายเหมือนมีน้ำอยู่ข้างใน บางก้อนมีสีที่สวยแปลกตา บางก้อนเหมือนมีอะไรก็ไม่รู้เหมือนก้อนสมองขยุกขยุยอยู่ ข้างใน นอกจากขายงานฝีมือแล้ว ที่ร้านแห่งนี้ยังขายก้อนหินก้อนเล็กๆ ที่สวยงามและไม่สวยงาม และแปลกตา โดยในร้านจะมีลานซึ่งทางร้านจะเอาหินพวกนี้มาเทกองไว้ แล้วให้เราเข้าไปเลือกหยิบเอง ซึ่งขายเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ โดยเราต้องซื้อถุงใส่หินของทางร้านเข้าไป สนนราคาในขณะนั้นที่ถุงเล็ก 3 แรนด์ และถุงใหญ่ 5 แรนด์ ส่วนถุงนั้น ก็มีลักษณะเหมือนถุงเล็กๆ ใส่ยาเม็ดตามร้านขายยาบ้านเรา คุณลองคิดดูว่ามันจะใส่ได้กี่ก้อนกันเชียว แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว ผมเลยซื้อถุงเล็กและยัดหินให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนถึงตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่า ผมซื้อหินก้อนพวกนั้นมาทำสากกระเบืออะไร 

ในช่วงเย็น ทางทริปเขามีนัดพาไปเที่ยวกลางคืนจะโรงเบียร์โรงบาร์ที่ไหนซักแห่ง แต่เนื่องจาก เราไม่พิสมัยการเที่ยวเช่นนี้ มาถึงแอฟริกาใต้ทั้งที เที่ยวแบบนี้เที่ยวเมืองไทยก็ได้ ว่าแล้วเราก็ปฏิเสธทัวร์นี้อย่างไม่ใยดีใยร้ายยิ่งกว่าปฏิเสธแฟนเก่าเวลาทำทีมาขอคืนดีอย่างน่าถีบ อย่างที่เรากระสันต์ตัวสั่นมาตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้เราไม่พลาดแน่ นั่นก็คือการบุกลงทะเลของ Cape Town นั่นเอง เมื่อได้ฤกษ์ เราก็เดินออกไปกันเป็นกลุ่มอย่างมีความสุข ขณะเดินไปเราก็ชมความงามของเมืองเล็กๆ สงบเงียบของถิ่น Muizenberg ไปเรื่อยๆ จนถึงที่ที่เราหมายตาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อเห็นดังนั้น เด็กไทยทั้งหมดไม่รอช้า โดยเฉพาะพวกผู้ชาย กรูกันลงไปที่น้ำทะเลอย่างบ้าคลั่งเหมือนมีน้องเทย่ารออยู่ในน้ำ พอขาแตะถึงน้ำทะเล ทันใดนั้น ปฏิกิริยาสะท้อนกลับอัตโนมัติของแต่ละคนก็ทำงานโดยทันที เราเด้งกันขึ้นมา เหมือนติดสปริง ทำไมน่ะหรือ.. ก็น้ำทะเลที่นี่มันเย็นอย่างน่าใจหายใจคว่ำ เย็นยิ่งกว่าน้ำในตู้เย็นบ้านท่าน ทักษิณซะอีก ก็แหงล่ะ เพราะห่าง Cape Town อีกไม่กี่ไมล์ทะเล มันก็ขั้วโลกใต้แล้ว ผมยังไม่เชื่อตัวเอง ลองเอา มือไปจุ่มน้ำอีกครั้ง คราวนี้ผมได้รู้ซึ้งแล้วว่าอะไรคือกระแสน้ำเย็น ผมไม่คิดว่ากระแสน้ำเย็นที่เราเคยได้ยิน ระหว่างนั่งหลับในคลาสวิชาสังคมมันจะเย็นขนาดนี้ เราคะเนกันว่าคงประมาณ 10 องศาเซลเซียสเห็นจะได้ แต่ถึงกระนั้นก็เหอะ ไหนๆ ก็มากันแล้ว เสียเที่ยวไม่ได้ เราค่อยๆ แหย่ตัวเข้าไปทีละนิด เริ่มจากเท้า ขา ไปเรื่อย ให้ร่างกายปรับสภาพไปเรื่อย จากนั้นเราก็ลงเล่นทั้งตัว โอว..พระเจ้า ผมยังนึกไม่ออกเลยว่า ตอนนั้นบ้าเล่น น้ำที่นั่นเข้าไปได้ไง แต่ที่แน่ๆ หากจะให้ผมไปเล่นอีกครั้ง ผมคงไม่เอาด้วยแน่ๆ เล่นเข้าไปได้ยังไง แต่ถึงยังไงวันนั้นเราก็เล่นกันจนตัวเปื่อย และเดินตัวเปียกกลับมาถึงที่พัก อาบน้ำแต่งตัวกันตามสบาย และเดินออกไปกินลม Muizenberg ช่วงกลางคืนอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เราไม่กลับมามือเปล่า เราซื้อพิซซ่าถาดใหญ่ ขนาดพ่อพิซซ่ามา 3 ถาด(น่าจะเรียกว่า 3 กระจาด) มานั่งโซ้ยกันถึงที่พัก นั่งเป็นวงกินกัน เหมือนกำลังจะโซ้ยส้มตำไก่ย่าง น้ำตก ลาบ ลู่ ส่งกลิ่นอบอวนชวนคนที่พักอยู่ที่นั่นน้ำลายยืดกันถึงขาอ่อนซ้าย ทำให้เจ้าหน้าที่ของเราคนนึงที่ปฏิเสธทัวร์กลางคืนเหมือนเราตะลึงงัน ไอ้เด็กไทยพวกนี้กระเพาะมันทำด้วยอะไร หรือจะมีสามอันแบบวัว ถึงเราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เราก็มีน้ำใจแบ่งปันชวนเขามาร่วมวงกับเรา ดูเขาท่าทางดีใจอย่างสุดซึ้ง หลังจากเราโซ้ยกันกระเพาะคราก เราก็นั่งเล่นกันรอพวกหนุ่มสาวตาน้ำข้าวกลับมา จากส่วนหนึ่งของทริปนี้ที่พวกเขาชอบที่สุด เมื่อได้ยินเสียงรถเข้ามาสักครู่ ภาพที่เห็นคือฝรั่งเมากระจาย (ไม่ใช่มอกะจาย) ยิ่งไปกว่านั้นยังเข้ามากันเป็นคู่ๆ คู่ชายหญิง โอบกอดกันเข้ามาปานกับว่ารู้จักกันมาแล้ว 5 ปี รู้ชื่อพ่อชื่อแม่กันเรียบร้อย ทั้งโอบทั้งจูบ มันเป็นภาพที่หากเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีรับรู้ต้องมีผู้ปกครองอยู่ด้วย ดูทุกคนมีความสุข(ทางเพศ)มาก แต่เราไม่อิจฉา ซ้ำยังอนาจกับชีวิตพวกฝรั่งที่มักทำอะไรบ้าๆ บอๆ และทำให้รู้ว่า เรา(เด็กไทย)กับเขา มีวัฒนธรรมต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมเห็นสภาพแล้ว ผมเองไม่รู้ว่าจะเรียกพวกเขาว่าอะไร ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าแฟนหรือว่าคู่ขาดี เพราะเมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อทุกคนสร่างเมา ดูเหมือนว่าทุกคนจะลืมเรื่อง ที่ทำกันเมื่อคืนอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่มีแฟน ไม่มีคู่ บางคู่ที่โอบรัดฟัดเหวี่ยงกันเป็นเฉิน หลง กันเมื่อคืนแทบ จะไม่คุยกันเลย บอกล่วงหน้าเลยก็ได้ว่า คืนถัดไป(และถัดไปทุกคืน)ก็เป็นกันเหมือนเดิม กินเหล้า เคล้าคลอเคลีย แต่.. เปลี่ยนคู่กันทุกคน มีเพียงไม่กี่คู่ที่เป็นคู่เดิม และเช้ามาก็ลืมอีก เออ…เอาเข้าไป

เช้าเกือบสายแล้ว ทุกคนสร่างเมา เด็กไทยสดชื่น จัดกระเป๋าแบบสั่วๆ อย่างเรียบร้อย ขึ้นรถบัสที่จอดอยู่หน้าที่พัก หลังจากขอบคุณเจ้าของที่พักที่ดูแลเราเป็นอย่างดี เราทั้งหมดหลากชาติพันธุ์หลาก ภาษาก็ออกรถมุ่งหน้าไปที่หมายต่อไป โดยทิ้ง Cape Town ไว้เบื้องหลังและเก็บแต่ความทรงจำดีๆ ลาก่อน Cape Town See Ya!!!  

 

(กลับไปข้างบน) / (คลิ๊กเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ)