|
|||||||||
|
|||||||||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() สภาพอากาศประจำวัน ![]()
ที่
Aix-en-Provence
การติดต่อที่จำเป็น ลิงค์เพื่อนบ้าน |
|
การควบคุมสื่อสิ่งพิมพ์ในประเทศอังกฤษ จุไรพร จ้อยเจริญ
ในปัจจุบันสิทธิในการสื่อสาร(La liberté d’expression) นั้นถูกเรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศประชาธิปไตย สื่อมวลชนสามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้อย่างเสรี จนบางทีลืมไปว่าสิทธิที่ตนใช้นั้นได้ล้ำเส้นไปกระทบสิทธิอื่นๆ “ไม่มีสิทธิใดที่สมบรูณ์” เมื่อเราใช้สิทธิอย่างหนึ่ง สิทธินั้นอาจไปกระทบสิทธิของผู้อื่นก็ได้ เมื่อสิทธิทุกอย่างจึงมีขอบจำกัดดังนั้นจึงเกิดการการควบคุมการใช้สิทธิ บทความนี้จะพูดถึงการควบคุมตรวจสอบการใช้สิทธิของสื่อสิ่งพิมพ์ในประเทศอังกฤษ การการควบคุมตรวจสอบดังกล่าวมีขึ้นเพื่อป้องกันไม่ไห้สิทธิในการสื่อสารนั้นล่วงไปกระทบสิทธิอื่นๆโดยเฉพาะสิทธิส่วนบุคคล สิทธิในชีวิตส่วนตัว(Droit de la vie privée)
การควบคุมตรวจสอบของสื่อสิ่งพิมพ์ในประเทศอังกฤษนั้นทำโดยองค์กรวิชาชีพที่เรียกว่า “The Press Complaints Commission”หรือเรียกโดยย่อว่า “The PCC” The PCCเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1990โดยยึดแนวความคิดของผู้ตรวจการแผ่นดินมาใช้ ประเทศแรกที่นำแนวคิดนี้มาใช้ได้แก่ สวีเดน ซึ่งเขาได้มีองค์กรดังกล่าวตั้งแต่ปี 1916
ตัวองค์กรของ The PCC ถูกแยกออกเป็นสองส่วนใหญ่และไม่ขึ้นต่อกัน ในส่วนแรกจะประกอบด้วยคณะกรรมการ ซึ่งมีทั้งหมด 17คนและกรรมการเหล่านี้แหละที่เป็นผู้ตัดสินว่าสื่อได้ละเมิดสิทธิของผู้เสียหายหรือไม่ กรรมการก็มาจากสองประเภทอีกคือบุคคลที่ไม่ได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับสื่อเลย อีกประเภทก็คือผู้เชี่ยวชาญทางด้านสื่อสิ่งพิมพ์ หนึ่งในสิบเจ็ดคนนี้จะมีประธานหนึ่งคนซึ่งคนที่เป็นประธานจะต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้นกับธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ ทั้งนี้เพื่อประกันความเป็นอิสระในการทำงาน ในส่วนนี้ก็จะมีหน่วยย่อยๆอีก (แต่ไม่ใช่กรรมการ17คนนี้) ที่ทำหน้าที่ปรับปรุงโค้ดของ The PCC (คณะกรรมการจะตัดสินโดยใช้โค้ดเป็นหลัก) นอกจากนั้นก็ยังมีหน่วยงานที่ประเมินผลการทำงานของ The PCC โดยจะเน้นประสิทธิภาพและความรวดเร็วของงาน (โดยเฉลี่ยแล้วแต่ละคดีจะไม่เกิน40วัน) แต่ละปีเขาก็จะสรุปผลงานและประมวลผลเพื่อปรับปรุงการทำงานในปีถัดไป ส่วนที่สองขององค์กรนี้ได้แก่ฝ่ายการเงิน ซึ่งได้กล่าวแล้วว่าได้แยกกันอย่างเป็นอิสระกับส่วนของคณะกรรมการ ฝ่ายการเงินนี้ประกอบด้วยกรรมการ 11 คนซึ่งมีหน้าที่หารายได้ให้กับ The PCCและจัดการแบ่งงบประมาณให้แก่ตัวPCC เงินรายได้ก็ไม่ได้มาจากไหน แต่มาจากสื่อสิ่งพิมพ์นั่นเอง กล่าวคือ สำนักพิมพ์หรือบริษัทใดที่เป็นสมาชิก ก็จะให้เงินอุดหนุนแก่ The PCC ซึ่งสื่อใหญ่ๆและมีชื่อเสียงในอังกฤษล้วนแต่เป็นสมาชิกของ The PCCแทบทั้งหมด
The PCC มีคอนเซปของเขาเองได้แก่ « Fast, Free, Fair » เนื่องจากการร้องเรียนต่อ The PCCนั้นไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น และทำได้ง่ายเพียงแค่ส่งสำเนาของสื่อที่ผู้เสียหายคิดว่าละเมิดสิทธิของตนพร้อมทั้งคำอธิบายมาทางไปรษณีย์ หรือจะร้องเรียนผ่านเวปไซด์ก็ได้ การร้องเรียนต่อThe PCC นั้นมีการกำหนดอายุความด้วยคือต้องไม่เกินหนึ่งเดือนหลังจากการตีพิมพ์ข้อความหรือบทความหรือแม้แต่รูปภาพที่ละเมิดต่อผู้เสียหาย การร้องเรียนต่อThe PCCนั้นรวมถึงข้อความหรือบทความตามเวปไซด์ด้วย
หากคณะกรรมการของThe PCCได้ตัดสินว่าสิ่งพิมพ์ที่ถูกร้องเรียนได้ละเมิดสิทธิของผู้เสียหายจริง สิ่งพิมพ์ดังกล่าวจะต้องลงบทความเพื่อแก้ไขข่าวและยอมรับว่าเป็นความผิดตนในสิ่งพิมพ์เดิมวันถัดไป รวมถึงต้องส่งจดหมายส่วนตัวไปขอโทษผู้เสียหายด้วย The PCCไม่มีบทลงโทษหากสิ่งพิมพ์ดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามแต่ก็ไม่ทำให้เกิดปัญหาเนื่องจากตั้งแต่The PCC เริ่มทำการ ไม่มีสิ่งพิมพ์ใดที่ปฏิเสธที่จะทำตามเงื่อนไขของThe PCC
The PCC ได้รับการยอมรับจากภายนอก โดยเห็นได้จากผู้ที่ร้องเรียนซึ่งมีตั้งแต่บุคคลธรรมดา ดารา นักเขียนเช่น J.K. Rowling ผู้เขียน Harry Potter หรือแม้แต่ราชวงศ์โดยเฉพาะ Princess Dianaของอังกฤษเองก็ร้องเรียนต่อThe PCC The PCC ยังได้รับการยอมรับจากศาลด้วย โดยเห็นได้จากคดีของAnna Ford ซึ่งเธอร้องเรียนต่อ The PCC ว่าตนถูกละเมิดสิทธิในชีวิตส่วนตัวโดยหนังสือพิมพ์ แต่The PCCมองว่ากรณีของเธอไม่เป็นการละเมิด เธอไม่เห็นด้วยจึงฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ดังกล่าวต่อศาล ศาลไม่รับฟ้องโดยให้เหตุผลว่า คดีดังกล่าวได้ถูกพิจรณาโดยThe PCC ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้มากกว่าศาลเพราะฉะนั้นศาลขอให้ฟังคำตัดสินของ The PCC และศาลก็ยังคงยืนยันเหตุผลเดียวกันนี้ในคดีถัดมา The PCCมีเครือข่ายของตนเองในระดับระหว่างประเทศด้วย (มักเป็นประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายของอังกฤษ) ซึ่งแต่ละปีเขาก็จะมีการรวมตัวกัน จัดสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงระบบการควบคุมจรรยาบรรณนักวิชาชีพในประเทศตน
สุดท้ายเราจะมาดูสิ่งที่ The PCC เห็นว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของเขานั่นก็คือโค้ดของเขานั่นเอง The PCC มีโค้ดมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งและคอยปรับปรุงโค้ดมาตลอดเพื่อให้ทันกับข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆตามกาลเวลา ซึ่งสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 หลักใหญ่ๆคือ การคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล และ จริยธรรมของนักวิชาชีพ การคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล(La protection des droits de la personne) ซึ่งแบ่งออกได้เป็น · การคุ้มครองความลับในชีวิตส่วนตัว(la protection du secret de la vie privée) The PCC คุ้มครองความมีชีวิตส่วนตัวในครอบครัว เคหสถานและรวมถึงข้อมูลส่วนตัวที่เกี่ยวกับสุขภาพด้วย นักสื่อสารมวลชนจะทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับการยินยอม · การคุ้มครองเด็กและเยาวชน(la protection de l’enfance et l’adolescence) The PCC คุ้มครองถึงเยาวชนอายุ16ปี ในชีวิตส่วนตัวของเขาและรวมถึงเวลาที่เขาอยู่ในสถานศึกษาด้วย เว้นแต่จะได้รับการอนุญาตจากผู้ปกครอง และหากการกระทำการดังกล่าวถูกทำขึ้นในสถานศึกษาก็ต้องได้รับการอนุญาตจากผู้ที่มีอำนาจในสถานศึกษาดังกล่าว · การคุ้มครองผู้ที่อ่อนแอ(la protection des personne vulnérables) หมายถึงบุคคลที่ได้รับอาการตกใจจากเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้น ผู้ป่วย คนพิการ ผู้เสียหายจากกรณีทางเพศ นักหนังสือพิมพ์ต้องทำงานกับบุคคลเหล่านี้ด้วยความระมัดระวังและความเข้าใจ นักหนังสือพิมพ์ต้องไม่ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับตัวบุคคลเหล่านี้ จนทำให้บุคคลรอบข้างสามารถรู้ได้ว่าผู้เสียหายเหล่านี้เป็นใคร
จริยธรรมของนักวิชาชีพ(Les obligations déontologiques des journalistes) เช่น การให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ตรงกับความจริงแก่สาธารณะชน, ห้ามนักหนังสือพิมพ์หาข้อมูลด้วยวิธีที่ไม่ถูกกฎหมาย, ห้ามใช้กล้องที่มีเลนส์ซูมเพื่อแอบถ่ายบุคคลในสถานที่ส่วนบุคคล หรือ ห้ามหาข้อมูลโดยการดักฟังโทรศัพท์ เป็นต้น
ระบบดังกล่าวอาจเทียบได้กับ Droit de réponse ของฝรั่งเศส ซึ่ง ผู้เสียหายไม่จำเป็นต้องฟ้องร้องต่อศาลเช่นกัน เพียงแค่ทำหนังสือถึงผู้ที่รับผิดชอบสำนักพิมพ์นั้นๆว่าตนถูกทำให้เสียหายและแจ้งราละเอียดว่าตนต้องการให้สำนักพิมพ์ลงข้อความแก้ไขอย่างไร Droit de réponse ที่ใช้กับสื่อสิ่งพิมพ์นั้นค่อนข้างเปิดกว้าง ผู้เสียหายเรียกร้องได้ หากตนถูกทำให้เสียหายจากข้อความที่ตีพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นการวิจารณ์ กล่าวหา หมิ่นประมาท หรือตีพิมพ์ข้อมูลที่ผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง การปฎิเสธไม่ลงข้อความแก้ไขมีโทษปรับถึง3750ยูโร และศาลสามมารถบังคับไห้ตีพิมพ์ข้อความดังกล่าว สำนักพิมพ์จะปฎิเสธการลงข้อความแก้ไขได้ก็ต่อเมื่อข้อความ( la réponse)นั้นขัดต่อกฎหมาย ศีลธรรม กระทบต่อบุคคลที่สาม หรือเป็นการกระทบต่อเกียรติของวิชาชีพนักหนังสือพิมพ์ เริ่มแรกนั้นมีผลบังคับใช้แค่หนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์ Périodique (l’art 13 de la loi du 29 juillet 1881) ต่อมาในปี1986 Droit de réponse ครอบคลุมไปถึงสื่อวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ (la loi du 30 septembre 1986) แต่การบังคับใช้กฎหมายนั้นแคบกว่าหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์ ผู้เสียหายจะเรียกร้องได้ก็ต่อเมื่อตนทำให้ถูกเสียหายโดยการกล่าวหาว่าร้าย หรือหมิ่นประมาทต่อเกียรติยศชื่อเสียงเท่านั้น การปฎิเสธการแพร่ภาพหรือกระจายเสียงข้อความแก้ไข (la réponse) ก็ไม่มีโทษทางอาญา แต่ศาลสามามารถบังคับให้แพร่ภาพหรือกระจายเสียงข้อความแก้ไข (la réponse) ได้
อายุความสำหรับ Droit de réponse คือ 3เดือนนับจากสื่อได้มีการตีพิมพ์สำหรับสื่อสิ่งพิมพ์ (La loi du 15 juin 2000) หรือนับแต่สื่อได้มีการกระจายเสียงหรือแพร่ภาพสำหรับสื่อวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ จะเห็นว่าระบบการควบคุมสื่อของทั้งสองประเทศนั้นมีทั้งความเหมือนและความแตกต่างกัน แต่จุดมุ่งหมายอันเดียวกันคือระบบดังกล่าวต้องการคุ้มครองผู้ที่ถูกทำให้เสียหายจากสื่อได้เรียกร้องสิทธิของตนในการแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องด้วยวิธีที่ง่ายและรวดเร็วกว่าการฟ้องร้องต่อศาลนั่นเอง
(กลับไปหน้าแรก) / (กลับไปสารบัญบทความ)
สงวนลิขสิทธิ์ © 2003
ตั้งแต่ 6 ตุลาคม 2546 (version 2 เริ่ม 26 มีนาคม 2547)
|