ศัพท์กฎหมายฝรั่งเศส

Internet pour le droit

เรื่องอยากเล่า

Salon d'Aix

 webboard

คุยกับดอกแก้ว

จดหมายเหตุ


ดู TV ฟังวิทยุ อ่าน นสพ.
การ Set เพื่อพิมพ์ไทย
โทรกลับไทย IRADIUM
โทรกลับไทย Telerabais

ที่ตั้งและแผนที่ Aix
การเดินทางและตารางรถ

ตารางรถประจำทางใน AIX
ตารางรถไป Marseille และ Plan de campagne
ตารางรถPays d'Aix ไป Plan
    สภาพอากาศประจำวัน
    ที่ Aix-en-Provence


Webboard

Thaiaixois Gallery
ศัพท์กฎหมายฝรั่งเศส
Internet pour le droit
เรื่องอยากเล่า (วิชาการ)
สภากาแฟ Salon d'Aix
คุยกับดอกแก้ว
จดหมายเหตุ
ส่ง e-cartes  virtuelles d'Aix-en-Provence

(กระทู้)การขอทุนเรียนที่ฝรั่งเศส

การปรับหลักสูตรมหาวิทยาลัยของฝรั่งเศส

คู่มือศึกษาต่อในประเทศฝรั่งเศส (โดยสารสนเทศการศึกษาต่อต่างประเทศ)

คู่มื่อเลือกมหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส( Guide Lamy des 3es cycles)

โรงเรียนสอนภาษาฝรั่งเศส IEFEE


มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในฝรั่งเศส

มหาวิทยาลัยใน Aix
Université de Provence 
Université de la Mediterranee

Université Paul Cézanne (Universitéde Droit, d'Economie et des Sciences d'Aix-Marseille3)

สถาบันศึกษาอื่น


ที่พักอาศัย
 - ที่พักของมหาวิทยาลัย
( CROUS)

ที่พักของเอกชน
 
- (Estudines)
 
-  (Citadine)  
 -
หาที่พักกับ adele.org
 - หาที่พักกับ office de tourisme
 - พักที่บ้านพักเยาวชน(Auberge de jeunesse)

การขอเงินช่วยเหลือค่าที่พัก(CAF)


การติดต่อที่จำเป็น

การติดต่อขอใบอนุญาตพักอาศัยในประเทศ(Carte de sejour)
 - เอกสารที่ต้องใช้ 1/ 2 /3
 - ติดต่อ
Prefecture des Bouches-du-Rhone
 - (กระทู้Thaiaixoisที่เกี่ยวข้อง)

การประกันสุขภาพ
 - การติดต่อประกันสุขภาพ
Securite sociale)
 - MEP ประกันสุขภาพของนักเรียน(อายุไม่เกิน 25 ปี)
 - Assurance étudiant (อายุไม่เกิน 40 ปี)

อื่น ๆ
 - การทำงานนอกเวลา
 - การต่ออายุหนังสือเดินทาง


ลิงค์เพื่อนบ้าน
Thai Law Reform
สมาคมนักเรียนไทยในรั่งเศส
เพื่อนไทยในเกรอนอบ
เพื่อนไทยในตูลูส
เพื่อนไทยในลียง

ABC-Bittorrent Client โดย pingpong
เพื่อนไทยในเบลเยี่ยม
สำนักงานผู้ดูแลนักเรียนฯ
เล่าข้ามฟ้ากับนาย Baguette
Pokpong's
Nujern's homepage
Café Lunar

Cafe Lunar สาขา 2
Le Journal de TAUNG
Artsstudio

 

 

พลังงานสีเขียว ตอน : พลังงานลม

                                                                          โดย อาวองการ์ด (Avant-garde)

 

 

คลิ้กเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ

    

 

เมื่อพลังงานจากน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ มีจำกัด และมีราคาสูงถีบตัวขึ้น ๆ ทุกวัน  ทั่วโลกต่างก็ตั้งคำถามกันว่า พลังงานฟอสซิลเหล่านี้มีวันจะหมดหรือไม่ และมองหาว่ามีพลังงานในรูปแบบอื่นอีกมั๊ย ที่เราพอจะนำมาทดแทนพลังงานในรูปแบบเดิม ๆ ได้บ้าง เรื่องนี้มีการพูดกันมาไม่ต่ำกว่า 20 ปีแล้ว แต่จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้อย่างจริงจัง ตราบเท่าที่ราคาพลังงานจากน้ำมัน ยังคงถูกกว่าต้นทุนของพลังงานในรูปแบบอื่น ซึ่งวันนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว

 

พลังงานน้ำมันจะหมดจากโลกเมื่อไหร่ ??

ความจริงแล้ว อาจจะบอกได้ว่าน้ำมันคงจะยังไม่ถึงกับหมดเกลี้ยงไปง่าย ๆ มันยังขุดได้อีกเรื่อย ๆ เกิน 100 ปี ขึ้นกับเทคโนโลยีที่ใช้ และขึ้นกับว่า คุณพร้อมจะ จ่าย เท่าไหร่ ซึ่งนอกจากปัญหาในเรื่องการสร้างมลพิษจากการใช้พลังงานเหล่านี้แล้ว  ราคาต้นทุน ของพลังงานจากน้ำมันนี้นับวันก็จะยิ่งสูงขึ้น จนน่าจะเกินความคุ้มทุนในไม่ช้า วันนี้ ทั่วโลกจึงถามหา พลังงานทดแทน (Alternative Energy) ถามหา พลังงานสีเขียว (Green Energy) เพื่อ การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustained Development / Développement Durable)”

 

เมื่อถามว่า ณ วันนี้ พลังงานอะไรที่กำลังฮ็อตที่สุด ได้รับความสนใจมากที่สุด คำตอบกลับไม่ใช่พลังงานแสงอาทิตย์อย่างที่เราเคยรู้กัน   แต่เป็น... พลังงานลม

ไม่น่าเชื่อเลยใช่มั๊ยครับ ??

 

 

พลังงานลม ที่จริงก็คือส่วนหนึ่งของพลังงานแสงอาทิตย์นั่นเอง

พลังงานลมเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ?

พลังงานลม เกิดจากการที่พื้นที่ต่าง ๆ บนโลก มีความสามารถการดูดกลืนความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้ไม่เท่ากัน  บริเวณที่มีอุณหภมิสูงกว่า อากาศจะขยายตัว ทำให้เบากว่า และลอยขึ้นไปข้างบน จากนั้นอากาศในบริเวณที่เย็นกว่า ซึ่งหนาแน่นกว่า หนักกว่า จะเข้ามาแทนที่ และเกิดเป็นลม ซึ่งด้วยหลักการนี้ เราจึงนำไปประยุกต์ใช้ประดิษฐ์บอลลูน ด้วยการทำให้อากาศข้างในลูกบอลลูนมีความร้อนด้วยไฟจากตะเกียงก๊าซ บอลลูนจะลอยสูงขึ้นเมื่อเราจุดไฟให้อากาศร้อน  และจะตกลงเมื่อเราปิดตะเกียง

 

      

อนาคตที่สดใสของพลังงานลม

ถ้าเราพูดถึงพลังงานลม เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ต้องบอกว่าดูจะเป็นเรื่องที่ห่างไกล เพราะการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ได้พลังงานน้อยมากไม่คุ้มในการที่จะลงทุน แต่ปัจจุบันกลายเป็นว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านพลังงานของโลก ต่างเริ่มหันมาลงทุนในธุรกิจพลังงานไฟฟ้าจากลมกันอย่างมากมาย

บริษัท General Electric เอง ได้ลงทุนเข้าไปซื้อกิจการด้านพลังงานลมจากบริษัท ENRON เมื่อ 2-3 ปีก่อน ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นมูลค่าของธุรกิจพลังงานลมมีเพียง 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐทั่วโลก ซึ่งนับว่าน้อยมากไม่มีใครสนใจ แต่ในเวลาต่อมาทุกคนจึงได้รู้ว่า General Electric กลายเป็นผู้ลงทุนที่มีสายตาแหลมคมที่สุด เพราะ 5 ปีมานี้ ธุรกิจพลังงานลมทั่วโลก เติบโตสูงขึ้นถึง 4 เท่า เปิดตัวเป็นคู่แข่งของพลังงานไฟฟ้าจากฟอสซิล (น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน) อย่างจริงจัง และส่วนหนึ่งจากเทคโนโลยีของ GE นี่เองที่ทำให้กังหันพลังงานลมวันนี้ มีขนาดใบพัดที่ใหญ่ขึ้น แต่เบาลงและติดตั้งเสาที่สูงขึ้นจากเดิมเพียงแค่ไม่เกิน 25 เมตร เป็นถึง 40-50 เมตร ซึ่งเป็นจุดที่จะรับพลังงานจากลมได้แรงขึ้น ทำให้กังหันลมมีประสิทธิภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากขึ้น ในขณะที่ต้นทุนก็ถูกลง ซึ่งถือว่าถูกกว่าระบบพลังงานแสงอาทิตย์ 8-10 เท่า

 

ในกลุ่มประเทศยุโรป ต่างก็มีความตื่นตัวในเรื่องของพลังงานลมนี้อย่างมาก ปัจจุบัน เยอรมันสามารถติดตั้งกังหันไฟฟ้าจากพลังงานลมมากที่สุดในโลก และติดตั้งไปแล้วถึง 12,835 เมกะวัตต์ รองลงมาเป็นสเปน และเดนมาร์ก ที่ติดตั้งไปแล้วถึง 5,000 และ 3,000 เมกะวัตต์ รวมทั้งสิ้น ขณะนี้ยุโรปสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลม รวมถึง 24,904 เมกะวัตต์ และคาดว่าทั้งเดนมาร์ก และเสปน น่าจะมีไฟฟ้าจากพลังงานลมได้ถึง 20% ของพลังงานทั้งหมดในประเทศภายในปี 2020 ส่วนในสหรัฐอเมริกามีการยกเว้นภาษีให้ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ได้รับการยกเว้นภาษีถึง 1.8 % ในทุก ๆ 1 กิโลวัตต์ที่ผลิตได้ และตั้งเป้าว่าจะผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมได้ถึง 6% ของพลังงานทั้งหมดในประเทศ ในปี 2020 เช่นกัน

 

 

            สำหรับในเอเชีย ประเทศที่มีการลงทุนพัฒนาด้านพลังงานลมก่อนใครเพื่อนได้แก่ประเทศอินเดีย ซึ่งปัจจุบันสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมได้ถึง 1,500 เมกะวัตต์ ในขณะที่จีนก็เริ่มไหวตัว และผลิตได้ 468 เมกะวัตต์ในปี 2002 ซึ่งจีนตั้งเป้าที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมให้ได้ถึง 20,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2020 เลยทีเดียว

 

 

พลังงานลมในประเทศไทย              

ประเทศไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งประเทศประมาณ 18,000 เมกะวัตต์ โดยส่วนใหญ่ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานความร้อนจากก๊าซธรรมชาติ ถึง ใน 3 หรือกว่า 12,000 เมกะวัตต์ เป็นไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ 2,800 เมกะวัตต์ นอกจากนั้น เป็นพลังงานในรูปอื่น ๆ เช่น Biogas และพลังงานแสงอาทิตย์ โดยประเทศไทยมีการนำเข้าพลังงานทั้งในรูปแบบของน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน รวมสูงถึง 50 ล้านตันต่อปี ซึ่งบ้านเราก็มีการทดลองใช้พลังงานลมเช่นกันที่สถานีทดลองไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับพลังงานลม จ. ภูเก็ต ด้วยกำลังการผลิตเพียง 200 กิโลวัตต์

 

จากข้อมูลเก่าที่ว่าความเร็วลมในบ้านเราเฉลี่ยเพียงแค่ 2-3 เมตรต่อวินาที ซึ่งนับว่าน้อยมาก และไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าได้ ทีมวิจัยด้านพลังงานลมของไทย ได้มีการตรวจวัดพลังงานลมทั่วประเทศ หรือที่เรียกว่าเป็นการทำ Wind map ใหม่อีกครั้ง โดยวัดที่ความสูง 50 เมตร ตามเทคโนโลยีที่กังหันลมสมัยใหม่ทำได้ และพบว่า บริเวณทางใต้ แถบชายฝั่งตะวันออกของประเทศไทย ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี และที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ มีความเร็วลมเฉลี่ยสูงถึง 6.4 เมตรต่อวินาที ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถจะนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับในประเทศยุโรป และอินเดียได้เช่นกัน

 

เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลได้ลงนามอนุมัติโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ 500 กิโลวัตต์ ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ด้วยงบประมาณสูงถึง 195 ล้านบาท เท่ากับว่าเราลงทุนถึง 9,750 ดอลล่าร์สหรัฐต่อกำลังไฟฟ้า 1 กิโลวัตต์ ซึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาใช้เงินลงทุนในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เพียง 1,000 ดอลล่าร์ต่อกิโลวัตต์เท่านั้น

เป็นเรื่องน่าเสียดายที่บ้านเรายังไม่มีการศึกษาอย่างจริงจังในเรื่องของการนำพลังงานลมมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด ในขณะที่ประเทศยุโรป อเมริกา และแม้กระทั่งจีน กับอินเดีย ได้กระโจนเข้ามาเล่นในเรื่องนี้กันแล้วอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ทั้ง ๆ ทีเทคโนโลยีเกี่ยวกับพลังงานลม และกังหันลม เป็นระบบที่ง่าย ไม่ซับซ้อน และเราน่าจะสามารถทำได้เองโดยไม่ต้องง้อเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เหมือนอย่างเช่นอินเดีย และจีนก็เป็นผู้ผลิตกังหันลมด้วยตัวเอง

 

ในขณะที่ระบบของพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงราคาสูงอยู่ พลังงานลมดูจะเป็นแหล่งพลังงานทดแทนจากธรรมชาติ ที่น่าจะทำให้เป็นจริงในเชิงธุรกิจได้มากที่สุดในตอนนี้ และยังน่าจะช่วยให้เราสามารถพึ่งตนเอง ลดการนำเข้าพลังงานให้น้อยได้อีกด้วย

คลิ้กเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ


 

(กลับไปข้างบน) / (กลับไปหน้าแรกเรื่องอยากเล่า) / (กลับไปหน้าแรก)          
 

สงวนลิขสิทธิ์ © 2003 
งานเขียนแต่ละชิ้นเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนแต่ละท่าน