![]() |
||||||||||||
|
||||||||||||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() สภาพอากาศประจำวัน ![]()
ที่
Aix-en-Provence
การติดต่อที่จำเป็น ลิงค์เพื่อนบ้าน |
พลังงานสีเขียว
ตอน
:
พลังงานลม
โดย อาวองการ์ด (Avant-garde)
เมื่อพลังงานจากน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ มีจำกัด และมีราคาสูงถีบตัวขึ้น ๆ ทุกวัน ทั่วโลกต่างก็ตั้งคำถามกันว่า พลังงานฟอสซิลเหล่านี้มีวันจะหมดหรือไม่ และมองหาว่ามีพลังงานในรูปแบบอื่นอีกมั๊ย ที่เราพอจะนำมาทดแทนพลังงานในรูปแบบเดิม ๆ ได้บ้าง เรื่องนี้มีการพูดกันมาไม่ต่ำกว่า 20 ปีแล้ว แต่จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้อย่างจริงจัง ตราบเท่าที่ราคาพลังงานจากน้ำมัน ยังคงถูกกว่าต้นทุนของพลังงานในรูปแบบอื่น ซึ่งวันนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว
พลังงานน้ำมันจะหมดจากโลกเมื่อไหร่ ?? ความจริงแล้ว อาจจะบอกได้ว่าน้ำมันคงจะยังไม่ถึงกับหมดเกลี้ยงไปง่าย ๆ มันยังขุดได้อีกเรื่อย ๆ เกิน 100 ปี ขึ้นกับเทคโนโลยีที่ใช้ และขึ้นกับว่า คุณพร้อมจะ “จ่าย” เท่าไหร่ ซึ่งนอกจากปัญหาในเรื่องการสร้างมลพิษจากการใช้พลังงานเหล่านี้แล้ว “ราคาต้นทุน” ของพลังงานจากน้ำมันนี้นับวันก็จะยิ่งสูงขึ้น จนน่าจะเกินความคุ้มทุนในไม่ช้า วันนี้ ทั่วโลกจึงถามหา “พลังงานทดแทน (Alternative Energy)” ถามหา “พลังงานสีเขียว (Green Energy)” เพื่อ “การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustained Development / Développement Durable)”
เมื่อถามว่า ณ วันนี้ พลังงานอะไรที่กำลังฮ็อตที่สุด ได้รับความสนใจมากที่สุด คำตอบกลับไม่ใช่พลังงานแสงอาทิตย์อย่างที่เราเคยรู้กัน แต่เป็น... “พลังงานลม” ไม่น่าเชื่อเลยใช่มั๊ยครับ ??
พลังงานลม ที่จริงก็คือส่วนหนึ่งของพลังงานแสงอาทิตย์นั่นเอง พลังงานลมเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ? พลังงานลม เกิดจากการที่พื้นที่ต่าง ๆ บนโลก มีความสามารถการดูดกลืนความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้ไม่เท่ากัน บริเวณที่มีอุณหภมิสูงกว่า อากาศจะขยายตัว ทำให้เบากว่า และลอยขึ้นไปข้างบน จากนั้นอากาศในบริเวณที่เย็นกว่า ซึ่งหนาแน่นกว่า หนักกว่า จะเข้ามาแทนที่ และเกิดเป็นลม ซึ่งด้วยหลักการนี้ เราจึงนำไปประยุกต์ใช้ประดิษฐ์บอลลูน ด้วยการทำให้อากาศข้างในลูกบอลลูนมีความร้อนด้วยไฟจากตะเกียงก๊าซ บอลลูนจะลอยสูงขึ้นเมื่อเราจุดไฟให้อากาศร้อน และจะตกลงเมื่อเราปิดตะเกียง
อนาคตที่สดใสของพลังงานลม ถ้าเราพูดถึงพลังงานลม เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ต้องบอกว่าดูจะเป็นเรื่องที่ห่างไกล เพราะการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ได้พลังงานน้อยมากไม่คุ้มในการที่จะลงทุน แต่ปัจจุบันกลายเป็นว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านพลังงานของโลก ต่างเริ่มหันมาลงทุนในธุรกิจพลังงานไฟฟ้าจากลมกันอย่างมากมาย บริษัท General Electric เอง ได้ลงทุนเข้าไปซื้อกิจการด้านพลังงานลมจากบริษัท ENRON เมื่อ 2-3 ปีก่อน ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นมูลค่าของธุรกิจพลังงานลมมีเพียง 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐทั่วโลก ซึ่งนับว่าน้อยมากไม่มีใครสนใจ แต่ในเวลาต่อมาทุกคนจึงได้รู้ว่า General Electric กลายเป็นผู้ลงทุนที่มีสายตาแหลมคมที่สุด เพราะ 5 ปีมานี้ ธุรกิจพลังงานลมทั่วโลก เติบโตสูงขึ้นถึง 4 เท่า เปิดตัวเป็นคู่แข่งของพลังงานไฟฟ้าจากฟอสซิล (น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน) อย่างจริงจัง และส่วนหนึ่งจากเทคโนโลยีของ GE นี่เองที่ทำให้กังหันพลังงานลมวันนี้ มีขนาดใบพัดที่ใหญ่ขึ้น แต่เบาลงและติดตั้งเสาที่สูงขึ้นจากเดิมเพียงแค่ไม่เกิน 25 เมตร เป็นถึง 40-50 เมตร ซึ่งเป็นจุดที่จะรับพลังงานจากลมได้แรงขึ้น ทำให้กังหันลมมีประสิทธิภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากขึ้น ในขณะที่ต้นทุนก็ถูกลง ซึ่งถือว่าถูกกว่าระบบพลังงานแสงอาทิตย์ 8-10 เท่า
ในกลุ่มประเทศยุโรป ต่างก็มีความตื่นตัวในเรื่องของพลังงานลมนี้อย่างมาก ปัจจุบัน เยอรมันสามารถติดตั้งกังหันไฟฟ้าจากพลังงานลมมากที่สุดในโลก และติดตั้งไปแล้วถึง 12,835 เมกะวัตต์ รองลงมาเป็นสเปน และเดนมาร์ก ที่ติดตั้งไปแล้วถึง 5,000 และ 3,000 เมกะวัตต์ รวมทั้งสิ้น ขณะนี้ยุโรปสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลม รวมถึง 24,904 เมกะวัตต์ และคาดว่าทั้งเดนมาร์ก และเสปน น่าจะมีไฟฟ้าจากพลังงานลมได้ถึง 20% ของพลังงานทั้งหมดในประเทศภายในปี 2020 ส่วนในสหรัฐอเมริกามีการยกเว้นภาษีให้ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ได้รับการยกเว้นภาษีถึง 1.8 % ในทุก ๆ 1 กิโลวัตต์ที่ผลิตได้ และตั้งเป้าว่าจะผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมได้ถึง 6% ของพลังงานทั้งหมดในประเทศ ในปี 2020 เช่นกัน
สำหรับในเอเชีย ประเทศที่มีการลงทุนพัฒนาด้านพลังงานลมก่อนใครเพื่อนได้แก่ประเทศอินเดีย ซึ่งปัจจุบันสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมได้ถึง 1,500 เมกะวัตต์ ในขณะที่จีนก็เริ่มไหวตัว และผลิตได้ 468 เมกะวัตต์ในปี 2002 ซึ่งจีนตั้งเป้าที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมให้ได้ถึง 20,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2020 เลยทีเดียว
พลังงานลมในประเทศไทย ประเทศไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งประเทศประมาณ 18,000 เมกะวัตต์ โดยส่วนใหญ่ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานความร้อนจากก๊าซธรรมชาติ ถึง 2 ใน 3 หรือกว่า 12,000 เมกะวัตต์ เป็นไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ 2,800 เมกะวัตต์ นอกจากนั้น เป็นพลังงานในรูปอื่น ๆ เช่น Biogas และพลังงานแสงอาทิตย์ โดยประเทศไทยมีการนำเข้าพลังงานทั้งในรูปแบบของน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน รวมสูงถึง 50 ล้านตันต่อปี ซึ่งบ้านเราก็มีการทดลองใช้พลังงานลมเช่นกันที่สถานีทดลองไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับพลังงานลม จ. ภูเก็ต ด้วยกำลังการผลิตเพียง 200 กิโลวัตต์
จากข้อมูลเก่าที่ว่าความเร็วลมในบ้านเราเฉลี่ยเพียงแค่ 2-3 เมตรต่อวินาที ซึ่งนับว่าน้อยมาก และไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าได้ ทีมวิจัยด้านพลังงานลมของไทย ได้มีการตรวจวัดพลังงานลมทั่วประเทศ หรือที่เรียกว่าเป็นการทำ Wind map ใหม่อีกครั้ง โดยวัดที่ความสูง 50 เมตร ตามเทคโนโลยีที่กังหันลมสมัยใหม่ทำได้ และพบว่า บริเวณทางใต้ แถบชายฝั่งตะวันออกของประเทศไทย ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี และที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ มีความเร็วลมเฉลี่ยสูงถึง 6.4 เมตรต่อวินาที ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถจะนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับในประเทศยุโรป และอินเดียได้เช่นกัน
เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลได้ลงนามอนุมัติโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ 500 กิโลวัตต์ ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ด้วยงบประมาณสูงถึง 195 ล้านบาท เท่ากับว่าเราลงทุนถึง 9,750 ดอลล่าร์สหรัฐต่อกำลังไฟฟ้า 1 กิโลวัตต์ ซึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาใช้เงินลงทุนในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เพียง 1,000 ดอลล่าร์ต่อกิโลวัตต์เท่านั้น เป็นเรื่องน่าเสียดายที่บ้านเรายังไม่มีการศึกษาอย่างจริงจังในเรื่องของการนำพลังงานลมมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด ในขณะที่ประเทศยุโรป อเมริกา และแม้กระทั่งจีน กับอินเดีย ได้กระโจนเข้ามาเล่นในเรื่องนี้กันแล้วอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ทั้ง ๆ ทีเทคโนโลยีเกี่ยวกับพลังงานลม และกังหันลม เป็นระบบที่ง่าย ไม่ซับซ้อน และเราน่าจะสามารถทำได้เองโดยไม่ต้องง้อเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เหมือนอย่างเช่นอินเดีย และจีนก็เป็นผู้ผลิตกังหันลมด้วยตัวเอง
ในขณะที่ระบบของพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงราคาสูงอยู่ พลังงานลมดูจะเป็นแหล่งพลังงานทดแทนจากธรรมชาติ ที่น่าจะทำให้เป็นจริงในเชิงธุรกิจได้มากที่สุดในตอนนี้ และยังน่าจะช่วยให้เราสามารถพึ่งตนเอง ลดการนำเข้าพลังงานให้น้อยได้อีกด้วย
สงวนลิขสิทธิ์ © 2003
|