|
|||||||||
|
|||||||||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() สภาพอากาศประจำวัน ![]()
ที่
Aix-en-Provence
การติดต่อที่จำเป็น ลิงค์เพื่อนบ้าน |
|
โดย เอกสิทธิ์ วินิจกุล
กฎหมายเพื่อการแข่งขันทางการค้าเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินการนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐทุนนิยม ซึ่งจะเคียงคู้เสมอกับการคุ้มครองผู้บริโภค อีกนัยหนึ่งคือรัฐที่มีการแข่งขันทางการค้าที่ดี ผู้บริโภคก็จะได้รับประโยชน์ตอบแทนที่ดีที่สุด เช่น สินค้าราคาไม่แพงแต่มีคุณภาพดี อีกทั้งคุณภาพของสินค้าก็พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ หากมีการแข่งขันที่เป็นธรรม
ธรรมชาติของการแข่งขันทางการค้า นั้น ผู้ผลิตต้องคำนึงถึงการตั้งราคาว่าราคาเท่าใดจึงจะมีผู้ซื้อสินค้าหรือบริการที่ตนผลิต ซึ่งโดยธรรมชาติของตลาดเมื่อสินค้าใดถูกต้องการมากสินค้านั้นก็มีราคาสูงขึ้น ในทางกลับกัน หากราคาเพิ่มสูงขึ้นจนมากเกินไป ความต้องการก็จะลดลง หรือราคาของสินค้าหรือบริการนั้นลดลงเมื่อสินค้านั้น ๆมีจำนวนในตลาดมากเกินไป และเช่นกันผู้ผลิตคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดที่ตนเองสมควรได้รับซึ่งหากมีการแข่งขันกันมาก ส่วนแบ่งการตลาดของรายหนึ่ง ๆ ก็อาจจะมีแนวโน้มลดลง หรือผู้ผลิตรายนั้น ๆ ก็ไม่สามารถตั้งราคาสินค้าที่ตนผลิตอย่างที่ตนต้องการได้ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผู้ผลิตต้องการทำให้การแข่งขันทางการค้าลดลงโดยการจำกัดคู่แข่งเพื่อให้บริษัทของผู้ผลิตเองสามารถได้รับส่วนแบ่งของตลาดได้มากที่สุด และสามารถกำหนดราคาที่ตนต้องการได้ ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้เรียกว่า Anti-Concurrence
ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของรัฐในการป้องกันการกระทำ Anti-Concurrence เพื่อส่งเสริมให้การแข่งขันทางการค้าสามารถดำเนินต่อไปเพื่อผู้บริโภคเองสามารถได้รับสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม ซึ่งอาจมองได้ว่าเป็นการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะอย่างหนึ่ง
กฎหมายเพื่อการแข่งขันทางการค้า เริ่มมีขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 ในประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อใช้สนับสนุนการแข่งขันทางการค้าให้เป็นธรรม โดยห้ามบริษัทหรือกลุ่มบริษัทที่พยายามกำจัดคู่แข่งที่มีขนาดเล็กกว่า ขณะที่คอยตั้งราคาสินค้าของตัวเองให้มีราคาสูงขึ้น ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคเอง ซึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาบริษัทที่เป็นเหยื่อของการ Anti-Concurrence สามารถใช้กระบวนการยุติธรรมในการเข้าแทรกแซงการ Anti-Concurrence นั้นๆ และสามารถได้รับค่าเสียหายได้ แต่ในทางกลับกันหากมีการบังคับใช้กฎหมายเพื่อการแข่งขันทางการค้าอย่างเข้มงวดจนเกินไปจะทำให้ประสิทธิภาพของบริษัทที่ผลิตสินค้าลดลงและจะมีผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งโดยสภาพบริษัทที่จะพยายามยึดครองตลาดในช่วงต้นต้องคอยพัฒนาประสิทธิภาพของสินค้าและบริการของตนเอง เพื่อให้เหนือกว่าบริษัทอื่นๆ ซึ่งจุดนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคโดยตรง
ดังนั้น การบังคับใช้กฎหมายเพื่อการแข่งขันทางการค้าไม่ควรจะเข้มงวดจนเกินไปนัก และการบังคับใช้น่าจะต้องสมเหตุสมผลและได้สัดส่วนกับผลประโยชน์ของผู้บริโภค
จากคำพิพากษาของศาลของประเทศสหรัฐอเมริกาสามารถแยกแยะการใช้กฎหมายป้องกันการผูกขาดได้ 2 ประเภท
1.เป็นรูปธรรม เพื่อพิสูจน์ว่าการปฏิบัตินั้น ๆ ขัดกับกฎหมายที่บัญญัติไว้
2.เป็นนามธรรม ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาล ซึ่งดูว่าการปฏิบัตินั้น ๆ มีผลอย่างไรเป็นการ Anti- Concurence หรือไม่ซึ่งต้องดูในแต่ละสาขาของการประกอบธุรกิจนั้นๆ ซึ่งในกรณีหลัง (นามธรรม) เป็นประโยชน์มากในทางเศรษฐกิจ และสามารถส่งเสริมให้บริษัทต่างๆสามารถพัฒนาประสิทธิภาพของสินค้าของตนเองได้อย่างเต็มที่ ตัวอย่างเช่น ในการ « dumping » ซึ่งหมายถึง บริษัทหนึ่งลดราคาสินค้าของตนเองชั่วคราวเพื่อทำให้บริษัทอื่นๆซึ่งเป็นคู่แข่งของตนในตลาดถูกกำจัดออกไป และจะเพิ่มราคาขึ้นเมื่อคู่แข่งในตลาดของตนถูกกำจัดออกไปซึ่งจากคดี Brooke 1993 Cour Suprème ของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้วางหลักการในการป้องกันการ dumping ดังนี้
(1) ต้องพิสูจน์ได้ว่าราคาที่ Dumping นั้นต่ำกว่าราคาจริงในตลาด
(2) ต้องพิสูจน์ได้ว่าหลังจากการ Dumping บริษัทที่ทำการ Dumping สามารถได้รับประโยชน์จากการ Dumping และสามารถหากำไรเพื่อชดเชยในส่วนที่ตัวเองขาดทุนไปในระหว่างการกระทำ Dumping ได้
(3) ต้องพิสูจน์ได้ว่าระหว่าที่ทำ Dumping หรือหลังจากทำ Dumping มีการเกิดขึ้นของการกีดกันทางการแข่งขัน โดยไม่ให้บริษัทอื่นสามารถเข้ามาทำการแข่งขันได้อย่างเสรี
ซึ่งในความเป็นจริง การ Dumping ไม่สามารถทำได้นานนัก เนื่องจากว่าบริษัทที่ทำการ Dumping มีความเสี่ยงในการรับภาระการขาดทุนและเสี่ยงที่จะไม่สามารถได้รับประโยชน์จากการ Dumping ของตนเอง โดยการหากำไรหลังจากการ Dumping เพื่อชดเชยในส่วนที่ขาดทุนไป ในระหว่างตอน Dumping อีกทั้ง บริษัทที่ทำการ Dumping ต้องเพิ่มผลผลิตของตนเอง เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่อาจเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาที่ลดต่ำลง และบริษัทอื่นๆในตลาดก็สามารถรักษาสภาพความมั่นคงทางตลาดของตนเองได้ หากลดผลผลิตของตนเองลง ในระหว่างมีการ Dumping และให้มาตรการทางการเงินอื่นๆ เพื่อช่วยพยุงฐานะของบริษัท
แต่อย่างไรก็ตาม ผลที่อาจเกิดขึ้นได้ภายหลังการ Dumping คือ 1) ข้อมูลที่บริษัทต่างๆ ได้รับจากตลาดไม่ได้มีลักษณะที่เท่าเทียมกันในความเป็นจริง ดังนั้น อาจทำให้บริษัทอื่นๆ ประเมินผิดพลาดในกลยุทธ์ทางการตลาด รวมถึงผลกำไรที่ตนควรจะได้รับ 2) บริษัทที่ทำ Dumping สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับบริษัทของตัวเอง และสินค้าของบริษัท อาจจะรู้จักกันอย่างแพร่หลายในหมู่ผู้บริโภคได้
สงวนลิขสิทธิ์ © 2003
|