|
|||||||||||||
ดู TV
ฟังวิทยุ อ่าน นสพ. การ Set เพื่อพิมพ์ไทย โทรกลับไทย IRADIUM โทรกลับไทย Telerabais ที่ตั้งและแผนที่ Aix การเดินทางและตารางรถ ตารางรถประจำทางใน AIX ตารางรถไป Marseille และ Plan de campagne ตารางรถPays d'Aix ไป Plan สภาพอากาศประจำวัน
ที่
Aix-en-Provence
(กระทู้)การขอทุนเรียนที่ฝรั่งเศส
ที่พักอาศัย
การติดต่อที่จำเป็น ลิงค์เพื่อนบ้าน |
ผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีรัฐธรรมนูญ โดย ธีระ สุธีวรางกูร
ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนอกจากจะถือเป็นเด็ดขาดอันยังผลให้โต้แย้งในทางใดอีกมิได้ กรณีอีกประการหนึ่งก็คือเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะมีผลบังคับผูกพันทั้งกับรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรของรัฐอื่นๆ[2]
ในคดีรัฐธรรมนูญทั่วไป ผลจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอาจดูประหนึ่งเหมือนกับไม่มีปัญหา เพราะเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยในเรื่องหนึ่งเรื่องใดแล้ว องค์กรต่างๆของรัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยก็ต้องนำคำวินิจฉัยดังกล่าวไปปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของตนให้เป็นไปตามนั้น อย่างไรก็ดี กรณีคดีเกี่ยวกับการกระทำการหรือมิกระทำการของบุคคลหนึ่งบุคคลใดที่นอกจากจะต้องมีความรับผิดตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ก็ยังต้องมีความรับผิดในทางอาญา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คดีรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา แล้ว ปัญหากลับดูจะเกิดขึ้น
ในคดีรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา มีลักษณะพิเศษประการหนึ่งตรงที่ว่า องค์กรตุลาการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณาวินิจฉัยคดีประเภทนี้จะมีอยู่สององค์กรคือได้แก่ ศาลรัฐธรรมนูญ กับ ศาลยุติธรรม ตัวอย่างเช่น เมื่อมีข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองผู้ใดไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) ภายในระยะเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนด เมื่อมีการเสนอเรื่องมาโดยชอบ หากศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า บุคคลผู้นั้นได้กระทำการนั้นไปโดยจงใจ ผลตามรัฐธรรมนูญก็คือบุคคลดังกล่าวต้องพ้นจากตำแหน่งที่ตนดำรงอยู่นับแต่วันที่ครบกำหนดต้องยื่นหรือวันที่ตรวจพบว่ามีการกระทำนั้น และบุคคลนั้นก็ต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดเป็นเวลาห้าปีนับจากวันที่พ้นจากตำแหน่ง[3] นอกจากนั้น เมื่อมีการฟ้องร้องเป็นคดีอาญาไปยังศาลยุติธรรม หากศาลยุติธรรมพิพากษาด้วยว่าบุคคลดังกล่าวกระทำการนั้นไปอย่างจงใจ ผลทางกฎหมายที่ตามมาอีกก็คือ บุคคลนั้นจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ[4]ตามไปอีกโสดหนึ่ง
จากลักษณะพิเศษของคดีรัฐธรรมนูญประเภทนี้ ซึ่งองค์กรตุลาการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณาวินิจฉัยคดีคือศาลรัฐธรรมนูญกับศาลยุติธรรม เมื่อรัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองผู้ใดจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน อันยังผลให้ผู้นั้นต้องเกิดความรับผิดตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแล้ว เมื่อมีการฟ้องร้องเป็นคดีอาญาไปยังศาลยุติธรรม ปัญหามีว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ว่าบุคคลดังกล่าวจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน จะยังผลผูกพันศาลยุติธรรมให้จำต้องวินิจฉัยเรื่องดังกล่าวไปในทำนองเดียวกันกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ อันมีผลให้บุคคลนั้นต้องรับโทษในทางอาญาโดยมิอาจพิพากษาให้เป็นอย่างอื่น หรือไม่
แท้จริงแล้ว ความข้อนี้นับว่ามีความยุ่งยากอยู่ เพราะมิว่าจะตีความบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันศาลยุติธรรมในคดีรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหรือไม่ ไปในแนวทางใด ผลกระทบที่ตามมาก็ดูจะเกิดขึ้นไม่น้อยเช่นกัน
ในแนวทางที่หนึ่ง หากตีความบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันศาลยุติธรรม การตีความตามแนวทางนี้ แม้จะเกิดผลดีตรงที่ว่ามีผลให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกับคำพิพากษาของศาลยุติธรรมไม่เกิดความลักหลั่นจากการวินิจฉัยประเด็นแห่งคดีกรณีเดียวกัน แต่โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญกับศาลยุติธรรมมีระบบวิธีพิจารณาเพื่อพิสูจน์ว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองผู้ใด จงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินหรือไม่ ที่ไม่เหมือนกัน โดยศาลยุติธรรมจะใช้ระบบวิธีพิจารณาแบบกล่าวหา ( Accusatory System )[5] ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญจะใช้ระบบวิธีพิจารณาแบบไต่สวน ( Inquisitorial System )[6] อันเป็นผลมาจากสภาพบังคับในทางคดี ( Sanction ) ที่มีความแตกต่างกันอยู่
กรณีดังกล่าว หากจะให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งวินิจฉัยคดีรัฐธรรมนูญที่มีสภาพบังคับทางคดีเพียงผู้นั้นจะต้องพ้นจากตำแหน่งที่ตนดำรงอยู่ อีกทั้งต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดเป็นเวลาห้าปีนับจากวันที่พ้นจากตำแหน่ง ( หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าบุคคลดังกล่าวจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ) ไปบังคับผูกพันให้ศาลยุติธรรมซึ่งมีอำนาจหน้าที่พิจารณาคดีอาญาต้องพิพากษาว่าบุคคลนั้นต้องได้รับโทษในทางอาญา ( แม้อาจจะให้รอการลงโทษ ) โดยบุคคลดังกล่าวจะมิมีโอกาสต่อสู้คดีในศาลยุติธรรมอีกเลย ( ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๓ วรรคหนึ่ง ก็มีบทบัญญัติเป็นหลักทั่วไปว่า ในคดีอาญาต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ) เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยว่าบุคคลนั้นจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ได้มีผลผูกพันศาลยุติธรรมให้ต้องพิพากษาตามไปเช่นนั้นเสียแล้ว ดังนี้ กรณีก็ดูไม่น่าจะสอดคล้องกับสภาพบังคับในทางคดีที่ต่างก็มีความแตกต่างกันอยู่นัก
แนวทางที่สอง หากตีความบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่มีผลผูกพันศาลยุติธรรม การ ตีความรัฐธรรมนูญตามแนวทางดังกล่าว แม้จะมีผลดีอยู่ที่เกิดความเหมาะสมกับสภาพบังคับในทางคดีที่กรณีมีความแตกต่างกัน อีกทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสโอกาสให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ตกเป็นจำเลยในคดีอาญาข้อหาว่าจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ได้มีโอกาสต่อสู้คดีในระบบกล่าวหาในศาลยุติธรรมซึ่งตนได้รับข้อสันนิษฐานทางกฎหมายที่เป็นคุณแก่ตนอยู่ว่ายังไม่มีความผิด จนกว่าจะถูกพิสูจน์อย่างแจ้งชัดในศาลว่าตนได้กระทำการดังกล่าวอย่างจงใจ[7] อย่างไรก็ตาม หากกรณีเป็นว่าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าผู้นั้นจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันยังผลให้ต้องพ้นจากตำแหน่งที่ตนดำรงอยู่ และต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดเป็นเวลาห้าปีนับจากวันที่พ้นจากตำแหน่ง แต่ศาลยุติธรรมกลับมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่า บุคคลดังกล่าวมิได้จงใจที่จะไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันมีผลให้บุคคลนั้นมิต้องรับโทษในทางอาญา กรณีจะเห็นได้ชัดเจนว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกับคำพิพากษาของศาลยุติธรรมนั้นมีความลักหลั่นเกิดขึ้น
จากการตีความบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะมีผลผูกพันศาลยุติธรรมในคดีรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหรือไม่ซึ่งได้เสนอมาให้เห็นทั้งสองแนวทาง และการตีความในแต่ละแนวทางก็เกิดผลกระทบที่แตกต่างกันออกไป กรณีจึงมิใช่เรื่องง่ายสำหรับการหาทางออกในเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี ไม่ว่าในทางวิชาการจะมีทางออกอย่างไร และแท้จริงแล้ว คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาจะมีผลผูกพันศาลยุติธรรมเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายโดยมิรวมถึงปัญหาข้อเท็จจริง หรือไม่ องค์กรผู้มีอำนาจชี้ขาดให้เกิดผลอย่างแท้จริงในระบบกฎหมายของรัฐ อย่างน้อยจะตกอยู่กับศาลยุติธรรมกับวุฒิสภา
นับต่อจากนี้ หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองผู้ใดจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน เมื่อมีการฟ้องร้องเป็นคดีอาญาต่อไปยังศาลยุติธรรม ท่าทีของศาลยุติธรรมเกี่ยวกับการพิจารณาและพิพากษาคดีต่อผู้นั้นจะเป็นเครื่องชี้วัดเบื้องต้นว่า ศาลยุติธรรมจะนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยว่าบุคคลดังกล่าวจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินมาผูกพันตนให้ต้องพิจารณาวินิจฉัยว่า บุคคลนั้นจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินตามศาลรัฐธรรมนูญไปหรือไม่
นอกจากนั้น หากศาลยุติธรรมเห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีดังว่านี้ มิผูกพันการพิจารณาพิพากษาคดีอาญาในเรื่องนั้นของตน โดยการพิจารณาพิพากษาไปในทิศทางตรงกันข้ามกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หาก...หากจะตีความรัฐธรรมนูญว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีสถานะประหนึ่งเป็นรัฐธรรมนูญ ( ซึ่งกรณียังเป็นที่ถกเถียงกันในทางวิชาการอย่างมาก ) ที่ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด หรือแม้กระทั่งผู้พิพากษาหรือตุลาการในศาลต่างๆมิอาจใช้อำนาจหน้าที่ของตนที่ส่อว่าเป็นการจงใจให้ไปขัดหรือแย้งกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ เมื่อมีการเสนอเรื่องให้วุฒิสภามีมติถอดถอนผู้พิพากษาในศาลยุติธรรมซึ่งได้พิจารณาพิพากษาคดีเรื่องนั้นออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๐๓ มติของที่ประชุมวุฒิสภาว่าจะให้ถอดถอนหรือไม่ จะเป็นตัวชี้วัดในท้ายที่สุดว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนั้นได้มีผลผูกพันหรือไม่ผูกพันการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลยุติธรรม
[1] บทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในจดหมายข่าวศาลรัฐธรรมนูญ ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๒ ( เล่มที่ ๑๐ ) ประจำเดือน มีนาคม – เมษายน ๒๕๔๓ หน้า ๙ -๑๑ แต่ด้วยเหตุที่กรณีนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายสำคัญในทางรัฐธรรมนูญ ซึ่งยังคงไม่มีคำตอบแน่ชัดทั้งในทางตำราและคำพิพากษาของศาล จึงอนุมานเอาว่าน่าจะยังคงเป็นประโยชน์สำหรับการนำเสนอเพื่อให้เกิดการถกเถียงในทางวิชาการกันอีกครั้ง [2] โปรดดูรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖๘ [3] โปรดดูรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๕ [4] พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๑๙ ประกอบกับ มาตรา ๔ [5] ระบบวิธีพิจารณาแบบกล่าวหา มีหลักการสำคัญอยู่ว่า ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบถึงความมีอยู่ของข้อเท็จจริงนั้น ( actori incombit probatio ) โดยหน้าที่ของศาลที่ใช้ระบบวิธีพิจารณาแบบนี้ ปกติจะมีบทบาทและฐานะเป็นเพียง “คนกลาง”ที่คอยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานและพิพากษาคดี ให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่คู่ความได้เสนอในระหว่างกระบวนพิจารณาเท่านั้น [6] ระบบวิธีพิจารณาแบบไต่สวน จะเป็นระบบวิธีพิจารณาที่เปิดโอกาสให้ศาลมีบทบาทสำคัญในการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจากทั้งคู่ความและจากที่อื่นๆได้ด้วยตนเอง โดยมิจำเป็นต้องฟังเฉพาะแต่ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่คู่ความได้เสนอมาให้ ฉะนั้น บทบาทของศาลในระบบวิธีพิจารณาแบบนี้นอกจากจะมีฐานะเป็นคนกลางแล้ว ในแต่ละคดี ศาลยังมีบทบาทเป็น “ผู้มีส่วนร่วมของคดี”ด้วยอีกทางหนึ่ง [7] ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗ บัญญัติว่า “ ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำความผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย”
(กลับไปข้างบน) / (กลับไปหน้าแรกเรื่องอยากเล่า) / (กลับไปหน้าแรก)
สงวนลิขสิทธิ์ © 2003
|