|
||||||||||
ดู TV
ฟังวิทยุ อ่าน นสพ. การ Set เพื่อพิมพ์ไทย โทรกลับไทย IRADIUM โทรกลับไทย Telerabais ที่ตั้งและแผนที่ Aix การเดินทางและตารางรถ ตารางรถประจำทางใน AIX ตารางรถไป Marseille และ Plan de campagne ตารางรถPays d'Aix ไป Plan สภาพอากาศประจำวัน
ที่
Aix-en-Provence
(กระทู้)การขอทุนเรียนที่ฝรั่งเศส
ที่พักอาศัย
การติดต่อที่จำเป็น ลิงค์เพื่อนบ้าน |
ขอเรื่องผีสักหน่อย โดย ท่านเจ้าคุณ
ตลอดการสนทนา ใครที่มีประสบการณ์เรื่องนี้โดยตรงหรือฟังเขาเล่ามาเป็นทอดๆต่างก็สาธยายถึงสิ่งที่ตัวเองได้รับรู้อย่างออกอาการ แต่จะเมามันหรือเปล่าผมไม่ได้ถาม คนพูดก็พูดกันไป คนฟังก็ฟังกันไป คนไม่กล้าฟังก็เอามืออุดหูพร้อมพยักหน้าเข้าใจเมื่อถูกถาม ผลสรุปคืนนั้นเป็นยังไง ใครนอนไม่หลับกันบ้าง ไม่มีใครบอกใคร แต่คนที่เคราะห์ร้ายที่สุดเห็นจะเป็นผม เพราะถูกเจ้ากระรอกน้อยที่ชอบดอดมากินแกงส้มตอนตีสองสั่งให้มานั่งหลังขดหลังแข็งเพื่อเขียนเรื่องนี้ โกวเล้งพูดไว้บ่อยครั้งว่า "ผู้ใดคิดว่าเข้าใจสตรี ผู้นั้นเป็นตัวโง่บัดซบ" ผมขอยืมคำพูดของนักเขียนนวนิยายกำลังภายในชาวไต้หวันท่านนี้มาดัดแปลงสักหน่อยว่า "ผู้ใดคิดว่าเข้าใจเรื่องผี ผู้นั้นจะโดนลองดี" เอ๊ะ ! เกี่ยวกันหรือเปล่า ? ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เมื่อถูกบังคับให้เขียนก็ต้องเขียน แต่ไม่ว่าจะยังไง เนื่องจากผมไม่ประสงค์จะโดนลองดี จึงจำเป็นต้องออกตัวก่อนว่า ผมพูดถึงเรื่องนี้ตามความเข้าใจแบบชาวบ้านไม่ใช่ "นักภูติศาสตร์" นะครับ จะมาเหมาเอาว่าผมเข้าใจเรื่องผีดี ผมเป็นอันไม่รับเด็ดขาด ว่ากันว่าเรื่องของ "ผี" เป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่อยู่คู่กันไปกับสังคมมนุษย์มาแต่อ้อนแต่ออก ไปดูเอาเถอะ ไม่ว่าไทย จีน แขก ฝรั่ง จะสืบสาวราวเรื่องจากปีมะโว้มาจนถึงทุกวันนี้ต่างก็มีเรื่องผีเป็นยาดำสอดแทรกอยู่ทุกยุคสมัย เรามักเข้าใจกันว่า "ผี" นั้นมีความหมายอย่างไม่ต้องสงสัยว่าเป็น "สิ่งชั่วร้าย" หรือ "สิ่งไม่ดี" เรื่องนี้แม้ดูออกจากจะจริงในวัฒนธรรมทางยุโรปที่เห็นกันว่า "สิ่งที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ซึ่งอธิบายไม่ได้ด้วยเหตุผลแต่กอรปไปด้วยความปรารถนาดีต่อมนุษย์เรา" นั้นต้องเรียกเป็น "เทพเจ้า" หรือ "พระเจ้า" ไม่ใช่ "ผี" แต่ความคิดเห็นของพวกยุโรปแบบนี้ก็ดูจะแตกต่างไปจากวัฒนธรรมทางเอเชีย โดยเฉพาะจีนกับไทย แถบเอเชียบ้านเรา สิ่งที่เรียกว่า "ผี" ไม่ได้มีความหมายในทางชั่วร้ายไปเสียทั้งหมด ทางตอนเหนือของประเทศไทยในหมู่บ้านชนบท ผีที่ทำหน้าที่รักษาหมู่บ้านดูแลลูกบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข เขาเรียกว่า "ผีฟ้า" ส่วนผีอีกพวกหนึ่งที่วันๆไม่ทำอะไรให้เป็นประโยชน์เอาแต่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกชาวบ้านให้หัวโกร๋นเล่น เขาก็เรียก "ผีห่า" นอกจากจะดูแลหมู่บ้านในฐานะที่เป็นหน่วยทางสังคมแล้ว ในประเทศเรา บ้านแต่ละหลังก็ยังมีผีคอยดูแลครอบครัว ลูกเด็กเล็กแดงอยู่เหมือนกัน ที่เรียกว่า "ผีบ้านผีเรือน" ทัศนะทำนองนี้ดูจะเหมือนกับวัฒนธรรมของคนจีนที่เห็นว่าในบ้านเรื่อนของตนจะมี "ผีบรรพบุรุษ" คอยดูแลรักษาให้เกิดความสงบสุขของครอบครัว เพราะเหตุอย่างนี้ ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องผีในทางเอเชียจึงไม่ได้มีความหมายในทางไม่ดีเสมอไปเหมือนพวกยุโรป วัตถุประสงค์ในการแสดงอิทธิฤทธิ์ของผีว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้คนหรือไม่นั่นแหละที่เป็นตัวชี้ว่าผีนั้นจะเป็น "ผีร้าย" หรือ "ผีดี" ถึงยังไงก็ตาม ควรพูดด้วยว่า แม้จะขึ้นชื่อว่า "ผี" แต่ผีก็ยังมีอารมณ์เหมือนเป็นปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราท่าน ลองไปทำอะไรให้ "ผิดผี" หรือไปลบหลู่ให้ท่านไม่สบอารมณ์เข้าสิ พ่อเล่นไม่เลิกเหมือนกัน พูดถึงผีบ้านผีเรือนแล้ว น่าสงสัยว่าพวกยุโรปเขามีความคิดเรื่องนี้ในทำนองเดียวกับบ้านเราหรือเปล่า เท่าที่สังเกต ดูเหมือนไม่น่าจะมี ในทัศนะแบบคริสต์ เราต้องไม่ลืมว่าปุถุชนคนธรรมดานั้นเมื่อตายไปแล้ว ถ้าไม่บาปหนาสาหัสสากรรจ์เกินไป ก็จะกลับไปอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้าไม่มีวันมาเร่ร่อนตามบ้านเรือนหรือปราสาทให้ชาวบ้านเขากลัวเล่น อีกอย่างหนึ่งตามทัศนะเดียวกัน ฝรั่งเขาก็ไม่มีคติเรื่องความจำเป็นของการให้ใครมาดูแลบ้านช่องของเขา มีแต่ให้มาดูแลคุ้มครองตัวเขา ซึ่งหน้าที่นี้ก็เป็นหน้าที่ของพระเจ้าไม่ใช่ของผี เหตุดังนี้ เมื่อผีฝรั่งนั้นพอจะสันนิษฐานได้ว่าเป็นพวกบาปหนักไม่สามารถเข้าไปสู่แผ่นดินพระเจ้าได้ หากใครเกิดเคราะห์หามยามร้ายไปเจอ ก็คงต้องตักเตือนว่าขอให้ระมัดระวังให้จงหนัก และคิดในทางร้ายไว้ก่อนคือ หนี อย่าไปทำใจดีสู้เสือเชียว โดยส่วนตัว ผมเองเคยถามพ่อตอนสมัยผมเป็นเด็กๆว่าผีมีจริงไหม แกตอบผมอย่างเสียไม่ได้ว่า "กูก็ไม่รู้ แต่ควายเวลาไปกินหญ้าในป่าช้าไม่เห็นมันกลัวผี ถ้ามึงไม่อายควายและดันจะไปกลัวไอ้ที่มึงว่า กูก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน" เจอมุขนี้เข้าไปก็ต้องถอยครับพระเดชพระคุณ ถึงยังไงก็เถอะ แม้จะได้คาถาดีจากคำพูดของพ่อวันนั้น แต่ไอ้ความกลัวผีมันเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกซึ่งไม่ได้รวบรัดเหมือนกับเหตุผลที่พอพูดให้เข้าใจได้แล้วทุกอย่างก็จบ จำได้ว่ากว่าความรู้สึกอย่างนี้จะบรรเทาลงจนเป็นเรื่องธรรมดาในวันนี้ ก็ต้องรอหลังจากนมแตกพานอีกหลายปี ตรงนี้ดูจะต่างจากเพื่อนผมคนหนึ่งที่ความสามารถในการกลัวผีดูจะคงเส้นคงวามาตลอดไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ หมอนี่เป็นคนกลัวผีเข้ากระดูก หนูเจินที่ว่าแน่แล้วยังเทียบหมอไม่ได้แม้กระผีก ผมเองเข้าใจเพื่อนคนนี้ดี เพราะเขามีประสบการณ์ตรงเรื่องเจอผีที่บ้านด้วยจนเสียงโวยวายดังไปถึงปากซอย คงเฝือเกินไปหากจะพูดรายละเอียด เอาเป็นว่าผลจากการนี้ทำให้ผมต้องหอบหมอนหอบเสื่อไปนอนเป็นเพื่อนที่บ้านหมอเป็นเวลาร่วมเดือน หลังจากกลับบ้านแล้ว ผมยังแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนเป็นระยะด้วยความเป็นห่วง วันหนึ่ง วันที่ผมไปเยี่ยมเขาที่บ้าน หน้าตาของหมอดูแช่มชื่นเป็นปกติ พอได้เวลากินเที่ยงด้วยกัน หมอก็โพล่งออกมาว่า "เอ้า ... กินข้าวด้วยกัน บุญชม" "ใครวะบุญชม" ผมนึกแต่ไม่ถาม กินข้าวเสร็จดูวีดีโอต่อหมอก็พูดขึ้นมาอีก "เฮ้ย ! บุญชม หนังดีโว้ยมาดูด้วยกัน" "บ้าแล้วๆ" ผมนึกในใจ อดรนทนไม่ไหวเลยถามออกไปว่า "ใครของมึงวะ ไอ้บุญชมน่ะ" คำตอบของเขาทำเอาผมมีสีหน้าบอกบุญไม่รับ "อ้อ ! ลืมบอกไป ผีที่กูเจอนั่นแหละ กูเรียกมันว่าบุญชม" สืบสาวราวเรื่องต่อมาได้ความว่าหลังจากไปหาพระมาแล้ว พระท่านแนะนำว่าให้คิดเสียว่าผีที่หมอเจอตอนนั้นเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ถ้าเราคิดกับเขาอย่างมิตร เขาก็จะคิดเช่นนั้นกับเรา เพราะฉะนั้น ทำอะไรก็ให้ทำด้วยกันเสมือนว่าเป็นเพื่อนกัน จะได้ไม่ต้องกลัวอะไร "มันเป็นอย่างนั้นเอง" ผมถึงบางอ้อ หลังดูวีดีโอจบ คุยกันอีกซักพัก ผมก็ขอตัวกลับบ้าน หมอเดินอาดๆมาเปิดประตูบ้านให้ผมพร้อมทั้งตะโกนเสียงดัง "บุญชมไปส่งเพื่อนกูหน่อย" ผมร้องเสียงหลงตอบมันไปทันที "เฮ้ยๆ ไอ้ห่า ไม่ต้องให้มันมาส่งกู" ไม่ว่าจะยังไง เรื่องของผีก็ไม่ใช่เป็นเรื่องสนุกนัก ผมพอจะบอกกับตัวเองได้ว่าตอนนี้แม้จะรู้สึกเฉย แต่ก็ยังยืนยันนะครับว่า สิ่งที่เรายังพิสูจน์ไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีอยู่ ผมเคยได้ยินบางคนพูดว่า "คนเรามักกลัวปรากฏการณ์ที่เราอธิบายไม่ได้" ความข้อนี้แม้อาจจะจริง แต่กับเรื่องผีๆแล้ว ต่อให้สามารถอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นคุ้งเป็นแคว ต่างคนต่างอยู่อย่ามาเจอกันนั่นแหละเป็นดี...นะบุญชม... |